
เมื่อเดือนที่แล้วมีเรื่องน่ายินดีหนึ่งอย่าง คือบล็อก Anontawong’s Musings มีคนติดตามครบหนึ่งแสนคนหลังจากเขียนมาเกือบ 11 ปี
ถ้าเทียบกับเพจอื่นๆ ต้องถือว่าเพจนี้โตค่อนข้างช้า แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือผู้ติดตามที่ค่อนข้างเหนียวแน่น
สมัยเมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว ผมเคยตั้ง OKR ไว้ว่าอยากจะมีผู้ติดตามเท่านั้น-เท่านี้ ภายในเวลาเมื่อไหร่ แต่พอลองทำไปสักพักก็ค้นพบว่าไม่ใช่ทาง เพราะมันมีปัจจัยหลายอย่างที่เราควบคุมไม่ได้
สุดท้ายก็เลยกลับมาโฟกัสเรื่องการเขียนของเราให้ดี ให้มีความสนุก และให้มีประโยชน์ ส่วนผู้ติดตามจะเพิ่มขึ้นเร็วช้าอย่างไรถือว่าเป็นผลพลอยได้
เมื่อได้ขบคิดเรื่องนี้นานเข้า ก็เลยรู้สึกว่า “ความสำเร็จที่มาช้า” นั้นมีข้อดีอยู่หลายอย่าง และความสำเร็จที่มาเร็วก็มีข้อควรระวังเช่นกัน
หนึ่ง ความสำเร็จที่มาเร็วเกินไปอาจให้ร้ายมากกว่าให้คุณ
เราเคยเห็นนักร้องหรือนักแสดงที่โด่งดังเป็นพลุแตกตั้งแต่วัยรุ่น แต่พอไม่รู้ว่าจะรับมือกับความสำเร็จที่ถาโถมอย่างไร สุดท้ายก็เลยสำคัญตนผิด เลือกทางผิด คบคนผิด จนชีวิตหลงทางอยู่นานหลายปี หรือบางคนก็ไม่อาจกลับมาอยู่บนเส้นทางนี้ได้อีกเลย
สอง ความสำเร็จที่มาช้าทำให้เราถ่อมตัว
เมื่อไม่ได้พบกับความสำเร็จแต่ก็ยังไม่อยากยอมแพ้ สิ่งที่ทำได้ก็คือการก้มหน้าก้มตาทำสิ่งที่ตัวเองรักต่อไป
เมื่อใช้เวลานานนับปีหรือนับสิบปีถึงจะได้รับการยอมรับ ความพยายามวันแล้ววันเล่าย่อมหล่อหลอมให้เรามีความอดทน ไม่ลืมตัวลืมตน และรู้ซึ้งว่าตัวเองก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง
ซึ่งความรู้สึกแบบนี้คงเกิดขึ้นได้ยากกับคนที่เปิดตัวมาแล้ว “แมส” อย่างรวดเร็ว
สาม ความสำเร็จสูงสุดทำให้เรามีความ antifragile น้อยลง
Antifragile เป็นหนังสืออีกหนึ่งเล่มของ Nassim Nicholas Taleb ผู้เขียน The Black Swan
ถ้าของที่แตกหักง่ายเราเรียกว่าเปราะบางหรือ fragile
ของที่คงทนแข็งแรงเราเรียกว่า robust
แต่ของที่ “เจอทุบ” แล้วแข็งแรงกว่าเดิม Taleb เรียกมันว่า antifragile
ร่างกายมนุษย์นั้นมีความ antifragile ประมาณหนึ่ง เมื่อเจ็บป่วยก็จะมีภูมิคุ้มกันต่อโรคเดิม เมื่อออกวิ่งปอดก็ยิ่งมีประสิทธิภาพ เมื่อยกน้ำหนักกล้ามเนื้อย่อมแข็งแรง
วงการวิทยาศาสตร์ก็มีความ antifragile ยิ่งมีคนโจมตี จับผิด หรืออยากพิสูจน์มากเท่าไหร่ ความรู้ความเข้าใจด้านวิทยาศาสตร์ก็ยิ่งแข็งแรงมากขึ้นเท่านั้น
Taleb มองว่าถ้าเหตุการณ์ผันผวนทำให้ระบบใดมีโอกาสได้มากกว่าเสีย ระบบนั้นก็มีความ antifragile แต่ถ้าเหตุการณ์ผันผวนทำให้ระบบนั้นมีโอกาสเสียมากกว่าได้ ระบบนั้นถือว่า fragile หรือเปราะบาง
มันคือ asymmetry หรือความไม่สมมาตรระหว่าง upside กับ downside
ตอนที่เราเริ่มต้นใหม่ๆ ยังไม่ประสบความสำเร็จ ความเป็นไปได้มีมากมาย เราจึงมี potential upside มากกว่า potential downside ดังนั้นเราจึงมีความ antifragile ในช่วงนี้ของชีวิต
แต่เมื่อเราประสบความสำเร็จแล้ว ก็จะเกิดความไม่สมมาตรที่ทำให้เราเปราะบาง เพราะเรามีอะไร “จะเสีย” มากกว่าเดิม ทั้งหน้าตา ชื่อเสียง เงินทอง
“Success brings an asymmetry: you now have a lot more to lose than to gain. You are hence fragile.”
-Nassim Taleb
ลองคิดถึงภาพคนที่ก้าวไปสู่จุดสูงสุดของวิชาชีพ เช่นเพลงที่ฮิตไปทั่วโลกอย่าง Gangnam Style ของ Psy ก็แทบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างปรากฏการณ์แบบนั้นได้อีก ซึ่ง Psy เองก็เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเขาต้องแบกรับแรงกดดันมหาศาลที่จะทำเพลงออกมาให้ปังเหมือน Gangnam Style อีกครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยทำมันได้อีกเลย
ความสำเร็จสูงสุดจึงเป็นคำสาปไปในตัว เพราะหลังจากนั้นแทบทุกงานที่ตามมาล้วนคล้ายกับการเดินลงเขา
สี่ ความสำเร็จหนึ่งจะทำให้ความสำเร็จถัดไปยากเย็นยิ่งขึ้น
ข้อเสียอีกอย่างของความสำเร็จ คือความสำเร็จเดิมไม่อาจทำให้เราแฮปปี้ได้อีกต่อไป
สมมติเราตั้งเป้าว่าจะวิ่งจบ 10 กิโลเมตรภายใน 1 ชั่วโมง
เดือนแรกที่ลอง เราวิ่งจบใน 70 นาที เรารู้สึกดีเพราะมาถูกทาง
เดือนที่สองจบ 60 นาทีพอดี รู้สึกฟินมากๆ
เดือนที่สามจบใน 55 นาที เป็น PB (personal best) ที่เราอวดทุกคนได้
ลองคิดดูว่าถ้าเดือนที่สี่เราวิ่งจบใน 60 นาทีเราจะแฮปปี้หรือไม่
คำตอบก็คือไม่ เพราะสิ่งที่เราเคยเรียกว่า “ความสำเร็จ” ได้กลายมาเป็นมาตรฐานที่ต้องทำให้ได้อยู่แล้ว (bare minimum)
เมื่อเราขยับเป้าหมายให้ยากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่เคยเป็นความสำเร็จในวันก่อน จึงเป็นเพียงความล้มเหลวหากเราทำมันได้ในวันนี้
และยิ่งเราเข้าใกล้ขีดจำกัดของตัวเองเท่าไหร่ กฎการลดน้อยถอยลง (Law of Diminishing Returns) ก็ยิ่งทำงาน เพราะแรงที่ลงไปไม่สามารถสร้างความก้าวหน้าได้มากเท่าแต่ก่อนแล้ว
มันคือการต้อนตัวเองให้จนมุม โอกาสที่จะมีความสุขลดน้อยถอยลงหากเรายังเรียกร้องให้ตัวเอง beat yesterday ต่อไปไม่รู้จบ
ห้า เป้าหมายที่คว้าเอาไว้ได้ อาจทำให้เราเคว้งคว้าง
มนุษย์เรานั้นถูกขับเคลื่อนด้วยฮอร์โมนโดพามีน ที่พาให้ไขว่คว้าสิ่งที่เรายังไม่มี
คนที่มีเป้าหมายจึงรู้ว่าวันนี้เราจะตื่นมาทำอะไร เพื่ออะไร และเพื่อใคร
แต่ในวันที่เราเดินทางถึงเป้าหมายนั้นแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นตามมา นั่นคือเรื่องที่น่าคิด
ถ้าเราหาภูเขาลูกใหม่ให้ปีนได้ มีอะไรให้ไขว่คว้าเพื่อสนองโดพามีน ก็ยังพอมีทางให้ไปต่อ
แต่ถ้าเราไม่มีเป้าหมายใหม่ ไม่รู้ว่าตื่นมาวันนี้จะทำอะไร ก็อาจทำให้ชีวิตของบางคนอับเฉาได้เช่นกัน
“The only thing that can ever truly destroy a dream is to have it come true.”
-Mark Manson
ที่เขียนมาทั้งหมดไม่ใช่จะบอกว่าความสำเร็จเป็นสิ่งไม่ดี
แค่ให้เรามองด้วยสายตาที่สมดุลกว่าเดิม ว่าในดีมีร้าย ในร้ายก็มีดี
แน่นอนว่าเราก็ต้องการ “ความสำเร็จเล็กๆ” ในรูปแบบของการพัฒนา เพราะ progress เป็นแรงจูงใจที่ดีที่สุดในการพาให้เราไปต่อ
เราอยู่ในโลกที่กระตุ้นให้คนแข่งขัน ให้เปรียบเทียบกันตลอด แม้ว่าชีวิตเราจะดีขึ้น แต่ถ้าเราดีขึ้นช้ากว่าคนอื่น การเปรียบเทียบย่อมทำให้เรารู้สึกทุกข์ใจได้เหมือนกัน
ในโลกการทำงาน เราจำเป็นต้องเร็วกว่าคนอื่น ไม่อย่างนั้นธุรกิจอาจไปต่อได้ลำบาก
แต่ในโลกส่วนตัว เราไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับใครเลย แม้กระทั่งกับตัวเอง
ผมจึงเชื่อว่าเราเปรียบเทียบกับคนอื่นได้บ้าง (เพราะอย่างไรเราก็เลี่ยงไม่ได้ มนุษย์นั้นเล่น Status Game มาแต่ไหนแต่ไร) แต่ต้องระวังไม่เอาคุณค่าและความพึงพอใจไปแขวนไว้กับปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้
สิ่งเดียวที่เราควบคุมได้ คือแรงที่เราลงไป มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสาเพื่อเพิ่มความน่าจะเป็นว่าเรากำลังอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง และตราบใดที่เราสร้างความก้าวหน้าเป็นบางวัน (ย้ำว่าแค่บางวัน) ก็นับว่าน่าพอใจแล้ว
“When you fall in love with the process rather than the outcome, you don’t have to wait to be happy.”
-Shane Parrish
เมื่อเรารู้สึกอ่อนล้า ให้ลองหยุดพัก ถอยห่างออกมาลองมองดูดีๆ อีกครั้ง
แล้วเราอาจรู้สึกขอบคุณความสำเร็จที่มาช้าครับ