มอง To-Do List ให้เหมือนเมนูอาหาร

เวลาเรามอง to-do list ที่เราเขียนขึ้นมาเอง เรามักจะรู้สึกว่ามันเป็น “ใบสั่งยา” ที่หมอเขียนมาให้

มียาขมต้องกินหลายขนาน ยานี้ต้องกินเวลานั้น ยานั้นต้องกินเวลานี้ และต้องกินให้ครบตามกำหนด ถ้ากินไม่หมดก็รู้สึกผิดอีก

ทุกเช้าที่ตื่นมาทำงานจึงเหมือนเป็นการเขียนใบสั่งยาให้ตัวเองวันแล้ววันเล่า

แต่ถ้าเราปรับมุมมองใหม่ว่า to-do list ไม่ใช่สิ่งที่ “ต้องทำ” (have to do) แต่เป็นสิ่งที่เรา “เลือกที่จะทำ” (get to do)

To-do list ก็จะเหมือนกับเมนูที่เต็มไปด้วยอาหารหลากรส ทั้งของเรียกน้ำย่อย ทั้งอาหารจานหลัก และของหวาน

ข้อดีของการมอง to-do list เป็นเมนูอาหารก็คือเราไม่จำเป็นต้องกินทุกจานที่อยู่บนลิสต์นี้ในวันนี้ เราเลือกกินเฉพาะจานที่เราอยากกิน ไม่สั่งมามากเกินไป ไม่สั่งมาน้อยเกินไป

เมนูที่ราคาแพงหน่อย ก็ต้องลงแรงเยอะหน่อย แต่ก็มีโอกาสที่จะให้ผลตอบแทนสูง

เมนูที่ราคาต่ำ ก็เหมือนงานง่ายๆ ที่ทำแป๊บเดียวก็เสร็จ แต่ผลตอบแทนก็อาจไม่มากนัก

และที่สำคัญ ถ้าวันนี้เรายังไม่อยากกินจานไหน เราก็เก็บเอาไว้สั่งวันหน้าได้ งานหลายชิ้นก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน เราไม่จำเป็นต้องทำมันวันนี้ และไม่ต้องรู้สึกผิดถ้าเราไม่อยากทำ

แน่นอนว่าเมนูบางอย่างหรืองานบางชิ้นก็เป็น Must try! คือต้องลองดู อย่างน้อยลองชิม-ลองเริ่มก็ยังดี ไม่งั้นพลาดไปแล้วอาจเสียใจภายหลัง

เมื่อเรามอง to-do list เป็นเมนูอาหารแทนที่จะเป็นใบสั่งยา เราจะทำงานได้อย่างมีอิสรภาพมากกว่าเดิม

และความรู้สึกว่าเราควบคุมชีวิตตัวเองได้ (autonomy) คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เรามีความสุขกับงานและมีความสุขกับชีวิตมากขึ้นครับ


ขอบคุณประกายความคิดจากข้อเขียนของ Oliver Burkeman ที่เคยอ่านสักแห่ง

ต้นกำเนิดหนังสือ 12 Rules for Life

เมื่อ 7 ปีที่แล้ว หนังสือ “12 Rules for Life: An Antidote to Chaos” ของ Jordan B. Peterson นั้นโด่งดังมาก และตอนที่สำนักพิมพ์อมรินทร์ How to นำมาแปลเป็นไทยในชื่อว่า “12 กฎที่ใช้ได้ตลอดชีวิต” ก็มีกระแสที่ดีมากเช่นกัน

เป็นเวลาสักพักแล้วที่ผมนึกถึงต้นทางของหนังสือเล่มนี้

เมื่อปี 2012 Jordan Peterson ได้เข้าไปตอบคำถามที่มีคนโพสต์ไว้ใน Quora ว่า

“What are the most valuable things everyone should know?”

อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดที่ทุกคนควรรู้?”

ปีเตอร์สันลิสต์คำแนะนำออกมา 40 ข้อ มีคนมาโหวตเกือบสองหมื่นครั้งและแชร์ไปพันกว่าครั้ง จนมีคนเชียร์ให้ปีเตอร์สันต่อยอดเป็นหนังสือ จึงเป็นที่มาของ 12 Rules for Life (2018) และ Beyond Order (2021)

เหตุผลที่ผมอยากนำกฎทั้ง 40 ข้อมาแปลเป็นไทยลงบล็อกนี้ เพราะผมไม่แน่ใจว่า Quora จะยังอยู่ได้อีกนานแค่ไหน เนื่องจากเว็บนี้ (หรือแอปนี้) เคยเป็นโซเชียลมีเดียให้คนเข้ามาถาม-ตอบกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง แต่การมาถึงของ Generative AI ก็น่าจะทำให้คนเข้า Quora น้อยลงไปพอสมควร – รวมถึงตัวผมเองด้วย

ดังนั้น ผมจึงอยากบันทึกคำแนะนำที่มีค่าของ Jordan Peterson เอาไว้ไม่ให้สูญหาย

และนี่คือกฎ 40 ข้อในการใช้ชีวิตจากปีเตอร์สัน สำนวนอาจแตกต่างจากสำนักพิมพ์บ้างไม่ว่ากันนะครับ

  1. จงพูดความจริง
  2. อย่าทำในสิ่งที่เราเกลียด
  3. จงประพฤติตัวในแบบที่เราสามารถอธิบายสิ่งที่เราทำได้อย่างตรงไปตรงมา
  4. จงแสวงหาสิ่งที่มีความหมาย ไม่ใช่สิ่งที่สะดวกสบายหรือให้ผลประโยชน์ระยะสั้น
  5. หากต้องเลือก จงเป็นคน “ทำงาน” แทนที่จะเป็นคนที่ “ถูกเห็นว่ากำลังทำงาน”
  6. จงใส่ใจ (pay attention)
  7. เวลาคุยกับใคร ให้นึกไว้ก่อนว่าเขาอาจรู้บางอย่างที่เราจำเป็นต้องรู้ จากนั้นก็จงฟังเขาอย่างตั้งใจ เพื่อที่เขาจะเล่าเรื่องนั้นให้เราทราบ
  8. จงลงมือลงแรงในการรักษาชีวิตคู่ให้ชื่นมื่น
  9. เลือกให้ดีว่าจะเล่าข่าวดีให้ใครฟัง
  10. เลือกให้ดีว่าจะเล่าข่าวร้ายให้ใครฟัง
  11. ในทุกที่ที่เราไป จงทำให้อะไรดีขึ้นอย่างน้อยหนึ่งอย่าง
  12. จินตนาการถึงคนที่เราอาจเป็นได้ แล้วมุ่งหน้าไปในทิศทางนั้นอย่างแน่วแน่
  13. อย่าปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นคนเย่อหยิ่งหรือเก็บความขุ่นเคืองไว้ในใจ
  14. พยายามทำให้ห้องหนึ่งในบ้านสวยที่สุดเท่าที่จะทำได้
  15. เปรียบเทียบตัวเองกับตัวเราเมื่อวานนี้ ไม่ใช่กับคนอื่นในวันนี้
  16. ลองทุ่มเทกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เต็มที่ แล้วดูว่าเกิดอะไรขึ้น
  17. หากความทรงจำเก่าๆ ยังทำให้เราร้องไห้ จงเขียนมันออกมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
  18. รักษาความสัมพันธ์กับผู้คนเอาไว้
  19. อย่าดูถูกสถาบันหรืองานศิลปะโดยไม่ไตร่ตรองให้ดีๆ
  20. เราดูแลคนที่เรารักและใส่ใจอย่างไร เราก็ควรดูแลตัวเองอย่างนั้นด้วยเช่นกัน
  21. ลองขอความช่วยเหลือเล็กๆ จากใครบางคน อนาคตเขาจะได้กล้าขอความช่วยเหลือจากเราบ้าง
  22. เลือกคบคนที่ต้องการให้เราได้ดี
  23. อย่าไปพยายามช่วยคนที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือ และจงระวังให้มากเมื่อต้องช่วยคนที่อยากได้รับความช่วยเหลือ
  24. สิ่งใดที่เราทำออกมาอย่างตั้งใจ สิ่งนั้นมีความหมายเสมอ
  25. เก็บบ้านของเราให้เรียบร้อยก่อนจะออกไปวิจารณ์โลก
  26. แต่งตัวให้เหมือนคนที่เราอยากจะเป็น
  27. จะพูดอะไรก็จงพูดให้ตรงประเด็นและชัดเจน
  28. ยืนให้ตัวตรง อกผายไหล่ผึ่ง
  29. อย่าหลีกเลี่ยงสิ่งที่น่ากลัวถ้ามันขวางทางเราอยู่ และอย่าทำสิ่งที่อันตรายโดยไม่จำเป็น
  30. อย่าปล่อยให้ลูกๆ ทำสิ่งที่จะทำให้เราไม่ชอบเขา
  31. อย่าปฏิบัติกับภรรยาเหมือนคนใช้
  32. อย่าซ่อนสิ่งที่ไม่อยากเผชิญหน้าไว้ในความคลุมเครือ
  33. คอยสังเกตว่าโอกาสมักซ่อนอยู่ ณ ที่ซึ่งความรับผิดชอบถูกละทิ้งไป
  34. จงอ่านงานเขียนของคนยิ่งใหญ่
  35. เมื่อเจอแมวตามท้องถนน จงก้มลงลูบหัวมันบ้าง
  36. อย่าไปยุ่งกับเด็กๆ ที่กำลังเล่นสเกตบอร์ด
  37. อย่าปล่อยให้คนพาลลอยนวล
  38. หากพบเห็นสิ่งที่ต้องแก้ไข ให้เขียนจดหมายถึงรัฐบาลพร้อมเสนอแนวทางแก้
  39. จำไว้ว่าสิ่งที่เรายังไม่รู้มีค่ากว่าสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว
  40. จงรู้สึกขอบคุณแม้ในยามที่ต้องทนทุกข์

Status Game – เกมที่เราหยุดเล่นไม่ได้

Status Game คือเกมการแข่งขันทางสถานะเพื่อวัดว่าใครอยู่สูงกว่าใคร

Naval Ravikant เคยกล่าวไว้ว่า เราไม่ควรลงไปแข่งเกมสถานะ เพราะมันคือ zero-sum game มีคนชนะก็ย่อมมีคนแพ้ เหมือนการแข่งฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่มีทีมแชมป์ได้ทีมเดียว

ยิ่งในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา status game ยิ่งทวีความดุดเดือดเพราะมีโซเชียลมีเดีย

สมัยก่อน ถ้ารุ่นพ่อแม่เราห้อยทองเส้นใหญ่ ใส่นาฬิกาแพง ขับรถหรู เราก็อวดได้แค่คนที่เราพบเจอในชีวิตจริงเท่านั้น แต่สมัยนี้ เราสามารถอวดสถานะให้กับคนที่อยู่คนละซีกโลกได้โดยสบายและแทบจะในทันที

เมื่อเดือนที่แล้ว พี่เอ๋ นิ้วกลม ก็ตั้งข้อสังเกตว่าแม้กระทั่งเรื่องการดูแลสุขภาพอย่าง Longevity ก็กลายมาเป็น status game ด้วยเช่นกัน

วันนี้เลยอยากจะมาเขียนถึงเรื่องนี้ โดยเนื้อหาส่วนใหญ่มาจาก Will Storr ผู้เขียนหนังสือ The Status Game นะครับ


สถานะคือ “เงินสกุลแรก”

เวลาคนเราอวดสถานะ สิ่งที่เรามักนึกถึง ก็คือการอวดว่าฉันเป็นคนมีเงิน ผ่านการซื้อของแพงๆ หรือประสบการณ์ที่ต้องใช้เงินในการเข้าถึง

แต่ก่อนที่เราจะมีเงิน เราวัดสถานะกันอย่างไร?

Storr มองว่าความต้องการที่จะได้มาซึ่งสถานะเป็นสิ่งที่วิวัฒนาการสร้างขึ้นมาในสัตว์ที่ต้องอยู่กันเป็นหมู่คณะ เพราะสัตว์ที่มีสถานะสูงสุดในฝูงจะได้กินอาหารเป็นคน(ตัว)แรก มีสิทธิ์ในการเลือกคู่ครองมากที่สุด และได้เลือกที่นอนที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับตัวเองและครอบครัว

ลิงที่เป็นจ่าฝูงจึงมีโอกาสสืบพันธุ์และส่งต่อพันธุกรรมมากกว่าลิงปลายแถว

ถ้าจะให้นิยามว่าสถานะคืออะไร มันคือการได้มาซึ่งการยอมรับและเคารพนับถือ (acceptance, respect, and admiration) โดยสัตว์ทุกตัวต้อง “เข้าพวก” ให้ได้ (get along) ก่อน แล้วจึงหาทางสร้างความโดดเด่นและความก้าวหน้า (get ahead) เพื่อให้ได้มาซึ่งสถานะ

วิวัฒนาการออกแบบให้สัตว์ทั้งหลายโหยหาสถานะ เพราะมันเป็นผลดีต่อการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ เมื่อลิงแต่ละตัวต้องการได้รับความยอมรับนับถือ ก็มีแนวโน้มที่จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่ว่าจะเป็นการหาอาหาร การแบ่งปัน และการปกป้องพวกพ้อง

ในมุมมองของ Storr สถานะของมนุษย์นั้นมีอยู่ 3 รูปแบบด้วยกัน

Dominance – สถานะที่ได้มาเพราะพละกำลังหรือศักยภาพในการทำให้คนอื่นหวาดกลัว เช่นการต่อสู้ การเป็นหัวหน้าแก๊งค์ หรือการเป็นเผด็จการ

Virtue – สถานะที่ได้มาเพราะมีคุณธรรมหรือ “ความดี” ที่สูงส่งกว่าคนอื่น สามารถทำตามกฎกติกาที่สังคมหรือกลุ่ม (tribe) นั้นๆ ยอมรับและให้คุณค่า เช่นการเป็นผู้นำศาสนา หรือการทำองค์กรไม่แสวงหากำไร

Success – สถานะที่ได้มาเพราะความเชี่ยวชาญในบางอย่าง เช่นเป็นนักล่าสัตว์ที่เก่งกาจ เป็นคนวาดรูปสวยอย่างดาวินชี หรือเป็นคนคิดค้นนวัตกรรมได้อย่างเอดิสัน


Status Game คือเกมที่เราไม่สามารถเลิกเล่นได้

Squid Game ในช่วงแรกๆ เขายังให้โอกาสเราโหวตเพื่อจะเลิกเล่นเกม แต่เกมสถานะนั้นเป็นเกมที่เราเลิกเล่นได้ยากมาก

ยิ่งยุคที่มีโซเชียลมีเดีย การเล่นเกมสถานะนั้นติดตามเราไปทุกหนแห่งและมีครบทั้งสามรูปแบบ

Dominance – รวมตัวกันแบนดาราหรือแบรนด์บางแบรนด์

Virtue – ต่อว่าคนที่ทำผิด และแสดงออกว่าเรามีคุณธรรม/ศีลธรรมเหนือกว่าคนที่กำลังเป็นข่าว

Success – โพสต์เซลฟี่ในที่ต่างๆ เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่าชีวิตเราดีแค่ไหน

แม้เราจะบอกว่าเราไม่สนใจเรื่องฟุ้งเฟ้อ ไม่ชอบการอวดใคร แต่นั่นก็ถือเป็น status game อย่างหนึ่งในมุมของ virtue เช่นกัน เพราะเรามองว่าเรื่องเหล่านั้นไร้สาระและเราถือว่าค่านิยมของเรานั้นดีงามกว่าคนที่ชอบซื้อของแบรนด์เนมหรือคนที่ชอบโพสต์อวดอะไรบนโลกโซเชียล

ลองสังเกตตัวเองก็ได้ว่าไม่ว่าเราจะไปที่ไหน เจอกับใคร เราจะเปรียบเทียบกับคนอื่นตลอดเวลา เช่นคนนี้ดูดี คนนั้นดูฉลาด คนนี้แต่งตัวแย่ ฯลฯ

ซึ่งคำที่พ่วงท้ายอยู่ในจิตใต้สำนึกก็คือ “กว่าเรา” – คนนี้ดูดีกว่าเรา คนนั้นฉลาดกว่าเรา คนนี้แต่งตัวแย่กว่าเรา

การเปรียบเทียบไม่ใช่เรื่องที่น่าตำหนิตัวเอง เพราะเป็นสิ่งที่วิวัฒนาการมอบเรามาให้แต่กำเนิด เราหยุดไม่ได้หรอกที่จะวัดว่าเราอยู่ต่ำหรือสูงกว่าคนอื่นๆ แค่ไหน

ส่วนถ้าใครจะบอกว่า “ไม่จริง ฉันไม่เคยเปรียบเทียบคนอื่นกับตัวฉันเลย” และคันไม้คันมืออยากคอมเมนต์มาก ก็จะขอบอกว่ามันคือ status game อย่างหนึ่งเช่นกัน ที่จะบอกว่าฉันพิเศษกว่าคนอื่น ฉันคือข้อยกเว้น

วิธีเดียวที่จะเดินออกจาก status game ได้ คือต้องปลีกวิเวกไม่ข้องเกี่ยวกับใครเลย ซึ่งเป็นไปได้ยากมากสำหรับมนุษย์ที่ยังใช้ชีวิตแบบฆราวาสอยู่


สถานะต่ำอาจทำให้อายุสั้น

การศึกษาหนึ่งที่โด่งดังมากมีชื่อว่า The Whitehall Studies ของ Dr.Michael Marmot ที่เริ่มทำมาตั้งแต่ปี 1967 จวบจนถึงปัจจุบัน ผ่านการเก็บข้อมูลของข้าราชการหลายหมื่นคนในอังกฤษ

สิ่งที่งานวิจัยนี้พบก็คือ ข้าราชการที่อยู่ในตำแหน่งต่ำสุดนั้นมีโอกาสเสียชีวิตก่อนวัยอันควรสูงกว่าข้าราชการตำแหน่งสูงถึง 4 เท่า!

แน่นอนว่ามีปัจจัยเสริมอื่นๆ ที่ทำให้ข้าราชการผู้น้อยมีความเสี่ยงสูงกว่า เพราะคนกลุ่มนี้สูบบุหรี่เยอะกว่า กินอาหารแย่กว่า และมีเงินน้อยกว่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แต่ปัจจัยเหล่านี้ก็มีผลเพียง 1 ใน 3 ของความแตกต่างด้านความเสี่ยงเท่านั้น

แล้วเหตุใดคนที่อยู่สถานะต่ำกว่าถึงอายุสั้นกว่าคนสถานะสูง?

งานวิจัยระบุว่ามี 3 สาเหตุหลักด้วยกัน

หนึ่ง คนกลุ่มนี้มี low job control คือไม่มีสิทธิ์เลือกว่าจะทำงานอะไร ทำเมื่อไหร่ ทำอย่างไร ต้องน้อมรับคำสั่งนายอย่างเดียว

สอง low social support ไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงานหรือผู้บังคับบัญชา

สาม คือขาดแคลนด้านทุนทรัพย์ ทำให้ไม่มีเงินเก็บ ไม่สามารถส่งลูกเรียนโรงเรียนดีๆ ไม่มีความมั่นคงด้านที่พักอาศัย

ทั้งสามปัจจัยนี้นำไปสู่ “ความเครียดสั่งสมยาวนาน” (chronic stress) ซึ่งทำให้ภูมิคุ้มกันตก ความดันสูง และมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเจ็บป่วยนั่นเอง


แล้วเราจะทำอย่างไรดี?

เมื่อเราไม่สามารถเดินออกจาก status game ได้ แถมถ้าเราอยู่ในสถานะที่ต่ำต้อยก็อาจมีผลต่ออายุขัยอีก เช่นนั้นแล้วเราควรทำตัวอย่างไรดี?

ข่าวดีก็คือ status games นั้นเป็นพหูพจน์ มีให้เลือกเล่นได้หลายเวที

คนที่เป็นนักมวยย่อมเชี่ยวชาญการต่อสู้กว่าผมมาก แต่อาจไม่มีความมั่นใจในการเขียนบทความเท่ากับผม

คนที่รวยเป็นพันล้าน อาจไม่สามารถวิ่ง 10 กิโลเมตรให้จบได้ใน 1 ชั่วโมง

คนที่สวยสง่า อาจไม่มีหัวในการทำธุรกิจ

สิ่งที่จะสื่อก็คือ การที่เราเป็น high status ในวงการหนึ่ง ไม่ได้แปลว่าเราจะเป็น high status ในวงการอื่นๆ เสมอไป

และการที่เรา low status ในวงการนี้ ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะ high status ในวงการอื่นไม่ได้

ดังนั้น จงเลือกเล่นเกมที่เราถนัด ที่เราทำแล้วรู้สึกว่าเราไม่ได้น้อยหน้าใคร แต่ก็ไม่จำเป็นต้องไปข่มเหง หรือดูถูกใครเช่นกัน

จริงๆ แล้ว Storr แนะนำให้รู้จักกับ Blessed Triangle หรือสามเหลี่ยมแห่งความสุข ที่จะช่วยให้เราเข้าพวกและสร้างความประทับใจกับคนที่เราพบเจอได้

  1. เป็นคนอบอุ่น (warm) เพื่อแสดงว่าเราไม่ใช่ภัยคุกคามหรือพยายามครอบงำใคร
  2. เป็นคนจริงใจ (sincere) เพื่อสื่อให้เห็นว่าเราเป็นคนซื่อสัตย์
  3. เป็นคนเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง (competent) เพื่อสื่อถึงความสำเร็จและเป็นประโยชน์

สุดท้ายแล้วเราทุกคนก็อยากได้การยอมรับและเคารพนับถือ แต่บางทีเราก็เผลอไปวิ่งตาม status ผิดประเภท จนพาให้เราหลงทางและเสียพลังงานไปโดยเปล่าดาย

อ่าน status game ให้ออก เลือกเล่นเกมที่เราเล่นได้ดี และถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องลงไปเล่นเกมที่ขัดกับตัวตนหรือคุณค่าที่เรายึดถือครับ