ช่วงนี้ผมกำลังอ่านหนังสือชื่อ Are You Mad at Me: How to Stop Focusing on What Others Think and Start Living for You ของ Meg Josephson อยู่ครับ
เป็นหนังสือที่อ่านสนุกมาก ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงได้ 4.48 ดาวบน Goodreads
หนังสือเหมือนจะเขียนให้ผู้หญิงอ่านเป็นหลัก เพราะอยู่ในสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ แต่ผมอ่านแล้วก็คิดว่ามันใช้ได้กับทุกเพศทุกวัยเหมือนกัน
เราคงคุ้นเคยกันว่า เวลาเจอ “สถานการณ์อันตราย” เรามักจะมีวิธีตอบสนองแบบ fight or flight – ไม่สู้ก็หนี เช่นเวลาที่แฟนโกรธเรามากๆ ถ้าเราไม่ทะเลาะด้วยก็ใช้วิธีเดินหนี
หรือบางคนอาจจะเคยได้ยินข้อสามคือ freeze คือหยุดนิ่งทำอะไรไม่ถูก ชวนให้นึกภาพกวางที่ยืนแน่นิ่งกลางไฮเวย์ยามค่ำคืน สายตาจับจ้องรถที่กำลังวิ่งมาด้วยความเร็วสูง
fight, flight or freeze นี่คือสามวิธีที่เราใช้เมื่อพบกับความรู้สึกว่าเราตกอยู่ในอันตราย
หนังสือ Are You Mad at Me สอนให้รู้จักกับวิธีการที่สี่ที่คือ fawn – อ่านว่า “ฟอว์น”
เป็นคำสั้นๆ พยางค์เดียว จนผมอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนเลยในชีวิต
Fawn แปลว่า give a servile display of exaggerated flattery or affection, typically in order to gain favor or advantage
ถ้าให้แปลเป็นไทยจะฟังดูแรงไปหน่อย คือ ประจบสอพลอ
แต่ความหมายของ fawn ในบริบทของ fight/flight/freeze/fawn หมายถึงการที่เราไม่กล้าขัดใจคนอื่น เพราะการทำอย่างนั้นจะทำให้เราไม่ปลอดภัย จะสู้ก็ไม่ได้ จะหนีก็ไม่ได้ จะอยู่เฉยๆ ก็อาจโดนทำร้าย ก็เลยใช้วิธี “เอาอกเอาใจ” แทน
เมื่อเราคุ้นชินกับการทำอย่างนั้น โตขึ้นมาเราก็เลยกลายเป็น “people pleasers” ที่อยากทำให้คนอื่นสบายใจไปเสียหมด ส่วนเรารู้สึกอย่างไรก็เก็บกดมันเอาไว้ข้างใน
จึงเป็นที่มาของชื่อหนังสือ Are You Mad at Me? เพราะคนที่เป็น people pleasers จะกังวลอยู่ตลอดว่าเราไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจรึเปล่า
Meg Josephson ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้บอกว่า ก่อนที่เราจะเป็น people pleasers ได้นั้น เราเป็น parent pleasers กันมาก่อน
นั่นคือเราต้องเคยเอาอกเอาใจพ่อแม่จนติดเป็นนิสัย
การเอาอกเอาใจหรือ fawning ไม่ใช่เรื่องผิด มันคือกลไกสำคัญที่ทำให้เราอยู่รอดปลอภัยในวัยเด็กมาได้
มาลองดูกันว่าชีวิตวัยเด็กที่ต่างกันไปทำให้เราโตขึ้นมาเป็นคนแบบไหนได้บ้างครับ
The Peacekeeper – ผู้รักษาความสงบ
เราอาจโตมาในครอบครัวที่คนในบ้านทะเลาะกันบ่อยๆ หรือมีคนใดคนหนึ่งโมโหร้าย ปิดประตูโครมคราม เดินกระทืบเท้า อารมณ์แปรปรวน บางทีก็โกรธหรือไม่ยอมคุยกับเราโดยที่เราไม่รู้เหตุผล
เด็กที่อยู่ในบ้านหลังนี้มักจะโดนแม่บังคับให้ไปขอโทษพ่อ หรือพ่อสั่งให้ไปขอโทษแม่ ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องขอโทษเรื่องอะไร พอจะเอ่ยปากถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คนเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆ และบอกกับเด็กว่าอย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
เมื่อโตขึ้นมา เราจึงกลายเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงอารมณ์ และถ้ารู้สึกว่าทำอะไรให้ใครไม่พอใจ ก็จะโทษตัวเองเอาไว้ก่อนและขอโทษขอโพยคนอื่นมากเกินพอดี (overapologize)
The Peacekeeper มักจะมีความเชื่อเหล่านี้
- การเก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจลึกๆ นั้นดีกว่าแสดงมันออกมาและทำให้คนอื่นไม่พอใจ
- เราต้องแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเราเป็นคนดี ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะจับได้ว่าเราเป็นคนไม่ดี
- ถ้ามีใครอารมณ์เสีย แสดงว่านั่นเป็นความผิดของเรา
The Performer – นักแสดง
บ้านหลังนี้ไม่ได้เสียงดังเหมือนบ้านหลังแรก แต่เต็มไปด้วยความเงียบและบรรยากาศ “มาคุ” อยู่ตลอดเวลา เพราะความรู้สึกของผู้ใหญ่ในบ้านไม่เคยถูกเอาขึ้นมาคุยกันอย่างเปิดอก
ความไม่ชอบใจไม่พอใจนั้นถูกเก็บเอาไว้เนิ่นนานหลายปี จนแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าไม่พอใจเรื่องอะไร พ่อมักจะค่อนแคะแม่ให้ลูกฟัง และแม่ก็บ่นถึงพ่อให้ลูกฟังเช่นกัน
เมื่อลูกจับความตึงเครียดในครอบครัวได้ สิ่งที่ลูกพอจะทำได้คือการยิงมุกหรือทำตัวตลกโปกฮาเพื่อให้บรรยากาศในบ้านดีขึ้น
เด็กในบ้านหลังนี้มักจะโตขึ้นมาเป็นตัวเฮฮาประจำกลุ่ม และมองโลกในแง่บวกเยอะกว่าคนปกติ เด็กจะมองว่าการทำให้คนรอบตัวมีความสุขเป็นหน้าที่ของเขา และเด็กคนนี้จะรู้สึกว่าไม่เคยได้เป็นตัวของตัวเองเพราะต้อง “แสดง” (perform) อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นเรื่องที่โดดเดี่ยวและเหน็ดเหนื่อยเอามากๆ
The Performer มักจะมีความเชื่อเหล่านี้
- การสร้างรอยยิ้มให้คนอื่นเป็นหน้าที่ของเรา
- เราควรเอาอกเอาใจคนอื่นเพื่อให้เขาชอบเรา
- เรารู้สึกเหมือนอยู่บนเวทีตลอดเวลา และต้องรักษาภาพลักษณ์ของตัวละครนี้ไว้เสมอ
The Caretaker – ผู้ดูแล
เด็กที่โตขึ้นมาในบ้านที่มักจะมีพี่หรือน้องไม่ค่อยแข็งแรง หรือมีพัฒนาการช้า เวลาและพลังงานของพ่อกับแม่จึงเทไปอยู่ที่คนที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ทำให้ “เด็กปกติ” อย่างเราไม่ได้รับการเอาใจใส่เท่าไหร่นัก ซึ่งเราก็โอเค เพราะเราก็รักพี่รักน้องของเราเหมือนกัน
เด็กคนนี้จึงทำตัวเป็นคน low maintenance ไม่ค่อยเรียกร้องอะไร แถมยังพยายามช่วยเหลือทุกคนจนมักได้รับคำชมว่า “ความคิดความอ่านโตเกินวัย”
เด็กที่โตมาในครอบครัวแบบนี้ จะรู้สึกว่าเขาจะเป็นที่รักได้ก็ต่อเมื่อทำตัวมีประโยชน์กับคนอื่น เด็กจึงกลายมาเป็นที่ปรึกษาตัวน้อยของพ่อแม่ รับฟังความเหน็ดเหนื่อยและความโกรธเคืองที่พ่อแม่มีต่อกันและกัน
เด็กคนนี้จะไม่เล่าปัญหาของตัวเองให้ใครฟัง เพราะไม่อยากไปเพิ่มความเครียดให้พ่อหรือแม่อีก การที่เขาช่วยแบ่งเบาภาระของคนในบ้าน เพราะลึกๆ แล้วก็แอบหวังว่าถ้าพ่อแม่มีเวลามากขึ้นอีกนิด พ่อแม่อาจจะพอมีเวลามาคิดถึงเขาบ้าง
เมื่อโตขึ้น เด็กคนนี้จะเป็นคนที่ไม่พึ่งพาใครเลย (hyperindependent) ทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว และแทบไม่เคยเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากใคร ไม่เคยมีใครมาถามว่าเขาเป็นอย่างไร ชีวิตโอเครึเปล่า เพราะทุกคนคิดไปเองว่าเขาคนนี้จัดการทุกอย่างได้อยู่หมัด
คนที่เป็น Caretaker เวลาคบกับใคร จิตใต้สำนึกมักจะผลักให้เขาเลือกคบกับแฟนที่ต้องการการดูแล เพราะมันคือความสัมพันธ์ที่เขาคุ้นเคย
The Caretaker มักจะมีความเชื่อเหล่านี้
- ถ้าเราแคร์คนอื่นมากพอ สุดท้ายพวกเขาจะแคร์เราบ้างเหมือนกัน
- ความต้องการของคนอื่นนั้นสำคัญกว่าความต้องการของเรา
- เรามีคุณค่าต่อเมื่อเราทำตัวมีประโยชน์กับคนอื่น
The Lone Wolf – หมาป่าเดียวดาย
ถ้าชีวิตในวัยเด็ก เรารู้สึกว่าถูกละเลย (emotional neglect) ไม่มีใครมาสนใจเรา เราก็จะมีโอกาสโตขึ้นมาเป็นหมาป่าเดียวดาย
เวลาเราไปเข้าค่ายหลายๆ คืน บ้านอื่นอาจจะเตรียมขนมและข้าวของเครื่องใช้แบบจัดเต็ม ในขณะที่กระเป๋าของเราแทบไม่มีอะไรเลย แถมระหว่างตอนอยู่ค่ายก็ไม่มีคนที่บ้านทักมาหาเหมือนเพื่อนคนอื่น
เวลาทะเลาะกับพ่อแม่ และเราเข้ามาเก็บตัวร้องไห้ในห้องคนเดียว เราแอบหวังว่าพ่อหรือแม่จะมาเคาะประตูห้องและเข้ามาถามไถ่ว่าเป็นยังไงบ้างแล้ว ดีขึ้นหรือยัง เมื่อกี้แม่ขอโทษที่ตวาดลูกไป แต่ปรากฎว่าไม่มีใครมาเคาะประตูห้องเราเลย
เราไม่กล้าบอกพ่อแม่เวลาที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย เพราะถ้าพ่อแม่เชื่อแบบนั้นจริงๆ เรากลัวว่าพ่อแม่จะเลิกใส่ใจเราไปอย่างสิ้นเชิง
เด็กที่โตมาในบ้านหลังนี้ จะกลายเป็นคนที่ไม่พึ่งพาใครเช่นกัน (hyperindepedent) เวลาเล่นกีฬาก็มักจะเล่นกีฬาเดี่ยว ไม่อยากเล่นเป็นทีมเพราะกลัวทำให้คนอื่นผิดหวัง และพื้นที่ที่รู้สึกปลอดภัยที่สุด คือห้องนอนของตัวเอง
The Lone Wolf มักจะมีความเชื่อเหล่านี้
- ความรักเป็นสิ่งที่ได้มาโดยยาก
- ไม่ควรสนิทกับใครเพราะไม่อยากจะผิดใจกัน
- การปล่อยให้ใครรู้จักเรามากเกินไปเป็นเรื่องไม่ปลอดภัย
The Perfectionist – เพอร์เฟกชั่นนิสต์
บ้านหลังนี้เต็มไปด้วยความรักและความใส่ใจ แต่ก็เต็มไปด้วยความคาดหวังที่สูงลิบลิ่วเช่นกัน
เด็กในบ้านหลังนี้มักจะมีพ่อหรือแม่ (หรือทั้งคู่) ที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์และควบคุมชีวิตลูก มักจะบอก (หรือบังคับ) ลูกว่าควรเรียนอะไร เรียนที่ไหน การที่เด็กจะหนีให้พ้นข้อติติงได้ ก็ด้วยการทำตัวให้ใกล้เคียงความสมบูรณ์แบบมากที่สุดและห้ามทำอะไรผิดพลาด
เวลาที่ลูกท้อแท้หรืองอแง พ่อแม่จะบอกว่าอย่าทำตัวแบบนี้เพราะมันไม่มีประโยชน์ (not productive) และพอพ่อแม่เห็นว่าอารมณ์เหล่านี้เป็นเรื่องไร้สาระและไม่ควรค่าแก่การนั่งคุยกัน ลูกก็จะมองว่าตัวเองผิดที่มีความรู้สึกแบบนี้
เด็กจึงโตมาเป็นเพอร์เฟกชั่นนิสต์ ที่จะร้องไห้เมื่อเห็นว่าสอบได้ A ทุกวิชายกเว้นวิชาเดียวที่ได้ B จะเป็นคนไม่กล้าบอกใครเวลาทำอะไรผิดพลาดเพราะกลัวจะโดนเพื่อนๆ วิจารณ์เหมือนที่เคยโดนพ่อแม่ตำหนิ
เพอร์เฟกชั่นนิสต์จะแสดงออกว่าเขา productive ตลอดเวลา ถ้าในวัยเด็กกำลังนอนดูทีวีอยู่และได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา เขาก็จะโยนรีโมตทิ้งแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาทำทีเป็นนั่งอ่านเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองกำลังพักผ่อนอยู่ เขาจะเป็นคนที่กดดันตัวเองและรู้สึกผิดอยู่เสมอเพราะไม่อาจเป็นคนสมบูรณ์แบบเหมือนภาพที่วาดเอาไว้
The Perfectionist มักจะมีความเชื่อเหล่านี้
- เราต้องเพอร์เฟ็กต์เราถึงจะได้รับความรัก
- สิ่งต่างๆ ที่เราทำนั้นไม่เคยดีพอ
- ลึกๆ แล้วเรามีอะไรที่ผิดปกติไปจากคนอื่น
The Chameleon – กิ้งก่าคาเมเลี่ยน
ใครที่ในวัยเด็กที่รังแกหรือถูกล้อบ่อยๆ มักมีโอกาสโตขึ้นมาเป็นกิ้งก่าที่ปรับสีสันไปตามสภาพ
เราอาจถูกล้อเรื่องการแต่งตัว ข้าวของเครื่องใช้ รูปร่างหน้าตา เวลายกมือตอบคำถามในห้องเรียนก็ถูกเพื่อนๆ หัวเราะคิกคัก โดยเฉพาะเพื่อนกลุ่มนึงที่ชอบมาหาเรื่องเราบ่อยๆ เด็กกลุ่มนี้ดูเท่ ดูอินเทรนด์ ดูมีพาวเวอร์ และชอบรังแกคนที่ไม่มีทางสํู้อย่างเรา เพราะเราอาจเพิ่งย้ายโรงเรียนมา หรือมีฐานะครอบครัวยากจน
พอเราโดนรังแกมากๆ จนร้องไห้ไปบอกที่บ้าน พ่อหรือแม่กลับบอกว่าอย่าไปใส่ใจ จงทำตัวให้เข้มแข็งกว่านี้ แล้วเดี๋ยวอะไรๆ มันจะดีขึ้น
แต่การล้อเลียนก็ยังคงดำเนินต่อไป เราเลยต้องปรับยุทธศาสตร์ใหม่ ด้วยการเลียนแบบคนที่ชอบรังแกเรา ถ้าเด็กกลุ่มนี้ดูรายการทีวีเรื่องอะไรเราก็ดูตาม จะได้คุยกับเขารู้เรื่อง เด็กกลุ่มนี้แต่งตัวแบบไหนเราก็แต่งตาม เขาจะได้ว่าเราไม่ได้ว่าเราแต่งตัวเชย
การเลียนแบบคนที่ชอบรังแกคือแนวทางในการปกป้องตัวเอง แต่สิ่งที่ตามมาคือเราไม่รู้ว่าตกลงแล้วเราเป็นใครกันแน่ เราชอบอะไรกันแน่ เราไม่มีความเห็นเป็นของตัวเองเลยเพราะเคยชินกับการทำตามคนอื่นมาตลอด
The Chameleon มักจะมีความเชื่อเหล่านี้
- เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม
- เราไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธใคร
- เราไม่รู้ว่าเราเป็นใคร เราไม่รู้ว่าเราต้องการอะไร
และนี่คือคน 6 ประเภทที่เราอาจเป็นได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน
บ้านที่มีปากเสียง จะทำให้เราเป็น ผู้รักษาความสงบ
บ้านที่บรรยากาศตึงเครียด -> นักแสดง(ตลก)
บ้านที่บังคับให้เรารีบโตเป็นผู้ใหญ่ -> ผู้ดูแล
บ้านที่ไม่มีใครใส่ใจดูแลเรา -> หมาป่าเดียวดาย
บ้านที่คาดหวังให้ลูกเป็นเลิศ -> เพอร์เฟกชั่นนิสต์
บ้านที่ปล่อยให้ลูกโดนรังแก -> กิ้งก่าคาเมเลี่ยน
คิดว่าหลายท่านคงจะพอเห็นภาพว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน และเหตุใดเราถึงกลายเป็น people pleasers และต้องใช้วิธีการ fawning เอาอกเอาใจคนอื่นและไม่ค่อยยอมบอกความต้องการของตัวเอง เพราะมันจำเป็นต่อการเอาตัวรอดตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน
แล้วถ้าเราเหน็ดเหนื่อยกับการใช้ชีวิตแบบนี้เต็มทีแล้ว เราจะเยียวยารักษาตัวเราได้อย่างไร?
ผมยังอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่จบ จึงไม่มีคำตอบ แต่ก็อยากเชิญชวนให้ไปหาหนังสือ Are You Mad at Me ของ Meg Josephson มาลองอ่านดู
ก่อนจากกัน ขอฝากประโยคหนึ่งในหนังสือที่ผมชอบมาก และอยากให้ลองพูดกับตัวเอง:
“Thank you, past self, for protecting me for so long. I am safe now.”
ขอบคุณนะ ตัวเราในอดีต ที่ปกป้องเรามาตลอด ตอนนี้เราปลอดภัยแล้วนะ
