พลังงานอย่างหนึ่งที่ผมสัมผัสได้ในช่วง 2-3 ปีมานี้ คือเราอยาก productive กันมากกว่าเดิม
การมาถึงของเอไอ ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะโดนคนที่ใช้เอไอเป็นแย่งงาน
แถมกระแสสุขภาพก็มา เราต้องออกกำลังกาย ต้องไม่กินอาหารแปรรูป ต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
เศรษฐกิจก็ไม่ดี การเมืองก็ไม่นิ่ง รัฐบาลไม่อาจพึ่งพา ประชาชนจึงต้องดูแลตัวเอง
สิ่งต่างๆ เหล่านี้บีบให้เรารู้สึกว่า “ต้องวิ่ง” อยู่ตลอดเวลา แม้แต่คนที่เรามองจากที่ไกลๆ แล้วรู้สึกว่าชีวิตเขาน่าจะดีพร้อม หรืออย่างน้อยก็ดีพอจนไม่จำเป็นต้องวิ่งแล้ว พวกเขากลับดูจะเร่งฝีเท้ายิ่งกว่าเราเสียอีก
เมื่อสภาพแวดล้อมเป็นเช่นนี้ คำตอบที่ได้คือเราต้องขยันกว่านี้ ต้องใช้เวลาให้คุ้มค่ากว่านี้
แต่บางทีเราก็โฟกัสกับความ productive มากเสียจนหลงลืมไปว่าเรา productive ไปเพื่ออะไร
สุดท้ายแล้ว productivity ก็เป็นแค่เครื่องมือ ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง
จุดหมายปลายทางของเราไม่ใช่การที่เรามี Inbox Zero หรือมี To-Do List เป็นศูนย์ ไม่ใช่การมี project/tasks ทุกอย่างที่ถูกจัดเก็บไว้อย่างดีใน Notion และไม่ใช่แม้แต่การมี routine ที่ลงตัวและสมบูรณ์แบบ
จุดหมายปลายทางน่าจะเป็นการที่เราได้มีชีวิตที่เราอยากมี มีเวลาเพียงพอจะทำในสิ่งที่เรารักและสนใจ มีเวลานั่งคุยนานๆ กับเพื่อนสนิทหรือคนในครอบครัว มีเวลาดูพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตก มีจังหวะได้นั่งๆ นอนๆ เฉยๆ โดยไม่ต้องรู้สึกผิด
ถ้าให้รวบสั้นๆ ก็คือมีโอกาสได้ใช้ชีวิต โดยไม่จำเป็นต้องสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ
แต่ตอนนี้ใครหลายคนอาจกำลังทุ่มเทพลังไปกับการ productive เน้นสร้าง output สร้างคุณค่า สร้างมูลค่า เพื่อเป็นเครื่องการันตีว่าเขาจะมีอนาคตที่ดีให้กับตนเองและครอบครัว
แต่โลกนี้ไม่มีอะไรการันตี เราทำดีที่สุด ขยันที่สุด แต่ถ้าปัจจัยอื่นไม่เกื้อหนุน เราก็ไปไม่ถึง “จุดนั้น” ที่เราหมายมั่นไว้อยู่ดี
แล้วจะให้ทำยังไง? นี่อาจเป็นคำถามในใจผู้อ่าน
ประโยคหนึ่งที่ผมชอบบอกตัวเอง คือ “คำตอบมักจะอยู่ตรงกลางเสมอ”
ถ้าเรา productive เกินไป เราก็จะใช้วันนี้เพื่อสร้างวันพรุ่งนี้ไม่รู้จบ
แต่ถ้าเรา “ใช้ชีวิต” เพื่อวันนี้-ตอนนี้มากเกินไป เราก็อาจไม่พร้อมในวันที่คลื่นลูกใหญ่ซัดเข้าหาฝั่ง
สิ่งที่ผมเชื่อ คือเราควรทำทั้งสองอย่างควบคู่กัน – เรา productive เพื่อที่จะได้มีเวลาเหลือในการทำสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับเรา โดยไม่ต้องรอให้ “ประสบความสำเร็จ” หรือ “ปลอดภัย” เสียก่อน เพราะวันนั้น – หรือความรู้สึกนั้น – อาจไม่มีวันมาถึงเลยก็ได้
ขอให้เราระลึกได้เนืองๆ ว่าอะไรคือเครื่องมือ และอะไรคือจุดหมาย
เพราะแท้จริงแล้ว ไม่มีใครอยาก productive ไปทั้งชีวิตครับ
