เมื่อระลึกได้ว่าเรากำลังจะไปไหน อุปสรรคจะกลายเป็นเส้นทาง

ช่วงนี้บริษัทผมกำลังจัดแคมเปญ Step Challenge คือแข่งกันเดิน/วิ่งนับก้าว โดยใช้ชื่อโครงการว่า Walkathon Walk-ka-ter (วอล์คคาธอน วอล์คกะเธอ)

โครงการเริ่มตั้งแต่ 15 มีนาคมและจะไปจบที่ 15 พฤษภาคม

ผู้จัดตั้งเป้าไว้ว่าจะเดินรวมกันให้ได้ทั้งหมด 60 ล้านก้าว ซึ่งเป็นตัวเลขที่เยอะจนจินตนาการไม่ออกว่าไกลแค่ไหน

สมมติว่าก้าวนึง 70 เซนติเมตร 60 ล้านก้าวก็ 42,000 กิโลเมตร พอๆ กับเส้นรอบวงของโลกที่มีระยะทาง 40,075 กิโลเมตร

ณ วันที่ผมเขียนบล็อกอยู่นี้ มีคนที่บริษัทเข้าร่วมโครงการ 201 คน เดินรวมกันไปแล้ว 30,201,323 ก้าว โดยอันดับ 1 เดินเกือบ 900,000 ก้าวแล้ว เฉลี่ยวันละสองหมื่นกว่าก้าว

ผมเองอยู่อันดับที่ 52 เดินไปแล้วเกือบ 200,000 ก้าว เฉลี่ยวันละห้าพันก้าว อาจจะดูน้อย แต่ก็ถือว่าไม่ขี้เหร่ถ้านับว่าช่วงหยุดสงกรานต์แทบไม่ได้ออกไปไหน

ตั้งแต่เข้าโครงการมา สิ่งที่ผมสังเกตเห็นในตัวเอง ก็คือผมไม่รู้สึกหงุดหงิดเวลาไปทำงานที่ออฟฟิศแล้วต้องจอดรถไกลๆ เพราะรู้สึกว่าดีเหมือนกัน จะได้มีโอกาสเก็บก้าวได้มากขึ้น

ผมคิดว่าหลายอย่างในชีวิตก็ใช้วิธีคิดแบบนี้ได้เช่นกัน

เวลาเราเจอเรื่องที่ลำบาก เรื่องที่ทำให้ไม่พอใจ ลองหาให้เจอว่าสิ่งนั้นมันช่วยบรรลุเป้าหมายระยะยาวของเราได้อย่างไร

ผมว่าสิ่งที่จะทำให้เรามีความสุขได้นั้นไม่ต่างกันเท่าไหร่ เหมือนคำพูดของตอลสตอยที่ว่า

“All happy families are alike; each unhappy family is unhappy in its own way.”
— Leo Tolstoy, Anna Karenina

คนเราเวลาสุขเรามักจะสุขด้วยเรื่องเดียวกัน แต่เวลาทุกข์เรามักจะทุกข์ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป

สิ่งที่นำมาซึ่งความสุขที่เราน่าจะมีเหมือนๆ กัน ก็เช่นการมีสุขภาพที่แข็งแรง การมีความสัมพันธ์ที่ดี การมีใจที่สงบไม่ดิ้นรน

สุขภาพที่แข็งแรง

  • วันหยุดสุดสัปดาห์ต้องเก็บบ้าน ทั้งเหนื่อย ทั้งเมื่อย ทั้งร้อน แต่การที่ร่างกายได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวย่อมดีกว่าการนอนแหมะไถมือถือทั้งวัน
  • เพื่อนนัดกินบุฟเฟ่ต์ แต่เราไปถึงช้า เวลากินไม่เยอะ เลยกินไม่ค่อยอิ่ม รู้สึกไม่คุ้ม แต่คิดอีกทีก็ดีเหมือนกัน เพราะถึงวัยนี้แล้วเราไม่ควรกินอิ่มเกินไป
  • หมอตรวจเจอความผิดปกติในเลือด ถือว่าเป็นเรื่องดี จะได้เริ่มจริงจังกับการกลับมาดูแลตัวเอง ดีกว่าไปรู้ทีหลังตอนที่ทุกอย่างสายเกินไป

ความสัมพันธ์ที่ดี

  • ทะเลาะกับแฟน ซึ่งนับเป็นเรื่องดีที่ต่างฝ่ายได้ระบายความในใจ เมื่อเห็นว่าเราและเขายังมีข้อบกพร่องตรงไหน จะได้เรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าหากันและเป็นคู่รักที่ดีกว่าเดิม
  • ลูกจะสิบขวบแล้ว แต่ยังอยากให้เราอุ้ม ถือว่าเราโชคดี เพราะมีไม่กี่คนในโลกนี้ที่ยอมให้เราอุ้ม เราควรจะอุ้มตอนที่เรายังอุ้มไหวและเขายังอยากให้เราอุ้มอยู่ ซึ่งเหลืออีกไม่กี่ปีแล้ว
  • เพื่อนยืมเงินแล้วไม่คืน จะทวงก็เกรงใจ แต่ถ้ามันไม่ได้ทำให้เราเดือดร้อน ก็ถือเป็นการคัดกรองคนไปในตัว และสอนให้เรารู้ว่าครั้งต่อไปถ้าใครมายืมเงินเราจะรับมืออย่างไรไม่ให้ซ้ำรอย

ใจที่สงบไม่ดิ้นรน

  • มีคนมาพูดจาไม่ดีหรือพูดจาลับหลัง เราผิดหวังและรู้สึกไม่ดี แต่นี่คือโอกาสที่จะฝึกความเมตตา ฝึกที่จะไม่เอาชนะในเกมที่ลงเล่นแล้วไม่คุ้ม
  • รถติดและเรากำลังจะไปสาย ก็ไม่เป็นไร จะได้ดูใจที่มันหงุดหงิดดิ้นไปดิ้นมา
  • คนที่เรารักจากไป นี่เป็นมรณานุสติที่ดี เตือนให้เราใช้ชีวิตที่เหลือด้วยความไม่ประมาท

ที่ยกตัวอย่างไปนี้ไม่ใช่การหลอกตัวเอง ไม่ใช่การบอกว่าห้ามเศร้าหรือห้ามโกรธ เพียงแต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็อย่าปล่อยให้มันเสียเปล่า

เมื่อมองใกล้เราอาจโกรธ ท้อแท้ หรือไม่พอใจ แต่เมื่อมองให้ไกลเราจะรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีคุณค่ากับเราได้ทั้งนั้น

ชีวิตนี้ยังต้องเดินทางอีกหลายสิบล้านก้าว แต่ถ้าเราระลึกได้ว่าเรากำลังจะไปไหน อุปสรรคจะกลายเป็นเส้นทางครับ


ป.ล. เห็นชื่อบทความนี้บางคนอาจจะนึกถึงหนังสือ The Obstacle Is the Way ของ Ryan Holiday ซึ่งเนื้อหาอาจจะมีความเชื่อมโยงกับบทความนี้บ้างในบางส่วนครับ

เราเกิดมาเพื่อเกื้อกูลกัน

ในช่วงเดือนที่ผ่านมา มีผู้อ่านหลายท่านได้กรุณาเขียนรีวิวถึงหนังสือเล่มล่าสุดของผม บางคนเอาไปพูดคุยต่อในพอดแคสต์ บางคนเอาไปปรับใช้กับคนในครอบครัว บางคนทักมาขอบคุณส่วนตัวทางอินบ็อกซ์

เป็นพลังงานดีๆ ที่ผมได้รับ และทำให้ผมยิ่งเชื่อว่า มนุษย์จะยังคงไปได้สวยถ้าเราคอยช่วยเหลือกัน

พูดถึงเรื่องพลังงาน ก็ทำให้ผมนึกถึงหนึ่งคอนเซ็ปต์ที่ผมชอบมากจากหนังสือ Why The West Rules For Now ของ Ian Morris

ว่าพลังงานที่เราใช้กันอยู่บนโลกนี้แทบทั้งหมดมาจากดวงอาทิตย์

ต้นไม้สังเคราะห์แสงและเก็บเป็นพลังงานนั้นไว้ สัตว์มากินพืชและเก็บพลังงานเอาไว้ในส่วนต่างๆ ของร่างกาย จากนั้นมนุษย์ก็กินสัตว์และพืชอีกทีจนมีกำลังวังชาในการออกไปทำกิจต่างๆ

Ian Morris บอกว่า industrial revolution หรือ “การปฏิวัติอุตสาหกรรม” นั้น แท้จริงแล้วคือ energy revolution หรือ “การปฏิวัติด้านพลังงาน” เพราะเป็นครั้งแรกที่เราสามารถเอาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน น้ำมันดิบ หรือก๊าซธรรมชาติ

ถ่านหินเกิดจากซากพืชในอดีตที่ถูกทับถมและแปรสภาพภายใต้แรงกดดันและความร้อนใต้ดินเป็นเวลาหลายล้านปี ส่วนน้ำมันดิบหรือก๊าซธรรมชาติก็เกิดจากซากสิ่งมีชีวิตในทะเล

เชื้อเพลิงฟอสซิลจึงเป็น ancient solar energy หรือ “พลังงานแสงอาทิตย์จากยุคโบราณ”

พลังงานที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายเราในตอนนี้จึงล้วนมาจากดวงอาทิตย์ — ที่ไม่เคยคิดเงินจากเราเลยสักบาท

Yuval Noah Harari ผู้เขียนหนังสือ Sapiens บอกว่าจริงๆ แล้วเผ่าพันธุ์ Homo Sapiens นั้นไม่ได้เก่งหรือแข็งแรงกว่าสายพันธุ์อื่น แต่สิ่งที่ทำให้เราขึ้นมาอยู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารได้ ก็คือความสามารถในการร่วมมือกันได้ดีกว่าสัตว์ทุกสายพันธุ์บนโลกใบนี้

เราสร้างภาษาเพื่อสื่อสารและถ่ายทอดองค์ความรู้ เราสร้าง “นิทาน” เพื่อรวมคนให้เป็นหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นนิทานรัฐชาติ นิทานเงินตรา นิทานศาสนา นิทานองค์กร สิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่จริงในเชิงกายภาพ แต่เป็น “จินตนาการร่วมของมนุษย์” ที่ทำให้เราพร้อมและยอมร่วมมือกับคนแปลกหน้า

ช่วงหยุดสงกรานต์ ผมเห็นหนังสือเปียโนของลูกที่เข้าเล่มด้วยกระดูกงูเริ่มชำรุด เลยเข้ากูเกิ้ลแมปส์แล้วพิมพ์คำว่า “เข้าเล่ม” ก็เจอร้านใกล้บ้าน

ผมแวะไปที่ร้าน ยื่นหนังสือเปียโนให้ แล้วไม่เกินหนึ่งนาทีเขาก็เอาหนังสือเปียโนที่ขึ้นกระดูกงูใหม่ให้เรียบร้อยกลับมาพร้อมคิดเงิน 40 บาท

ทุกอย่างช่างรวดเร็วทันใจและง่ายดายราวมายากล แล้วผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณคนที่สร้างกูเกิ้ลแม็ปส์ขึ้นมา คนที่สร้าง GPS ขึ้นมา คนที่สร้างอินเทอร์เน็ตขึ้นมา และคนอีกไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ที่สร้างเทคโนโลยีอีกหลายชิ้นก่อนหน้านี้ที่ทำให้การมีกูเกิลแม็ปส์นั้นเป็นไปได้ – เราไม่เคยเจอกันด้วยซ้ำ แต่ผลงานของคนเหล่านั้นช่วยให้ผมซ่อมหนังสือเปียโนให้ลูกสาวได้ภายในชั่วอึดใจ

เมื่อมองไปรอบตัว และตระหนักได้ว่าสิ่งดีๆ ในชีวิตที่เรามีอยู่ทั้งหมดเป็นผลผลิตจากคนรุ่นก่อนที่สานต่อมาจนถึงคนรุ่นนี้ ความรู้สึกขอบคุณย่อมประทับและประดับอยู่ในใจ

“Someone’s sitting in the shade today because someone planted a tree a long time ago.”
— Warren Buffett

และนี่คือเหตุผลที่คนเราควรทำงาน

เพราะผลิตภัณฑ์และการบริการ ล้วนถูกสร้างมาเพื่อแก้ปัญหาอะไรบางอย่างของมนุษย์

การทำงานจึงเป็นการลดทอนความทุกข์ร้อนของเพื่อนมนุษย์ — ทั้งในวันนี้ และในวันพรุ่งนี้

เราได้รับพลังงานฟรีๆ มาจากดวงอาทิตย์ และเราก็ใช้พลังงานนั้นในการทำอะไรบางอย่างที่สร้างคุณค่าให้กับคนที่เรารักและคนแปลกหน้าอีกอเนกอนันต์ นี่คือความมหัศจรรย์ของการมีชีวิตอยู่

เราเกิดมาเพื่อเกื้อกูลกัน ถ้าเราระลึกความจริงข้อนี้ได้เป็นประจำ เราจะไม่หลงทางครับ

เราควรเลือกเล่นเกมชีวิตใน Easy Mode

คำแนะนำหนึ่งที่ผมคิดว่ามีประโยชน์และนำมาประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตของพวกเราทุกคน คือ เราควรเลือกเล่นเกมชีวิตใน Easy Mode มากกว่าที่จะเล่นใน Hard Mode

คำแนะนำนี้มาจาก Shane Parrish ผู้เขียนบล็อก Farnam Street และผู้เขียนหนังสือ Clear Thinking

เขาบอกว่า เรามักจะทำให้ชีวิตยากขึ้นโดยไม่จำเป็น ราวกับว่าเราเลือกเล่นเกมนี้ใน Hard Mode ทั้งที่เราสามารถเลือกจะทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้นได้ ด้วยการเล่นใน Easy Mode

ขอยกตัวอย่าง Hard Mode กับ Easy Mode เพื่อให้เห็นภาพนะครับ

Hard Mode: ไม่ตั้งใจเรียน อ่านหนังสือคืนก่อนสอบ สอบได้คะแนนไม่ดี
Easy Mode: ตั้งใจเรียน อ่านหนังสือล่วงหน้า สอบได้คะแนนดี

Hard Mode: นอนดึก ตื่นสาย ไปทำงานสาย เจ้านายดุ
Easy Mode: นอนเร็ว ตื่นเช้า ไปทำงานตรงเวลา เจ้านายรัก

Hard Mode: ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก ไม่รอบคอบ ต้องแก้งานหลายรอบ
Easy Mode: ทำงานอย่างรอบคอบและตั้งใจ ส่งงานครั้งเดียวผ่าน

Hard Mode: สูบบุหรี่ กินเหล้า เข้าโรงพยาบาลตอนแก่
Easy Mode: ไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า หรือกินแค่พอประมาณ ไม่ต้องทุกข์ทรมานตอนแก่

Hard Mode: ไม่ออกกำลังกาย ปล่อยให้ตัวเองอ้วน เป็นเบาหวานและเพิ่มความเสี่ยงโรคต่าง ๆ
Easy Mode: ออกกำลังกายเป็นประจำ รักษาหุ่น สุขภาพสมบูรณ์ ทำอะไรได้ด้วยตัวเองจนแก่เฒ่า

Hard Mode: ใช้เงินเกินตัว เป็นหนี้บัตรเครดิต ยืมเงินเพื่อนฝูง ไม่กล้าสู้หน้าใคร
Easy Mode: ใช้เงินสมฐานะ ไม่เป็นหนี้ที่ไม่สร้างสินทรัพย์

คิดว่าแค่นี้น่าจะพอเห็นภาพ เพราะมันเป็นภาพที่เราเห็นเป็นประจำ

และสิ่งที่ผมเขียนก็ไม่ได้มีความลึกซึ้งอะไร เพราะผู้อ่านก็รู้อยู่แล้วว่า อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ

แต่เหตุผลที่เราหลายคนยังพาตัวเองไปเล่นเกมชีวิตใน Hard Mode เป็นครั้งคราว (หรือบ่อยครั้ง) ก็เพราะว่าเราตามใจกิเลสมากไปหน่อย ก็เลยโดนผลลัพธ์ที่ตามมาลงโทษ และเราก็ไม่เข็ดหลาบ จนกว่าสถานการณ์มันจะแย่มากพอให้เราบอกว่า “ไม่เอาอีกแล้ว”

เลือกเล่นเกมชีวิตใน Easy Mode เพื่อจะได้ไม่ต้องสร้างความเครียดและความทุกข์ให้ตัวเองโดยไม่จำเป็นครับ

ผ่านแผ่นดินไหวด้วยใจที่ไม่เหมือนเดิม

เวลาที่ตีพิมพ์บทความนี้ คือ 13:20 วันศุกร์ที่ 4 เมษายน 2568

7 วันหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศไทยเมื่อเวลา 13:20 วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568

เหมือนกับหลายๆ คนที่อยากบันทึกความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ จะได้ไม่ลืมสิ่งที่ได้จากเหตุการณ์นี้ครับ

ปกติวันศุกร์จะเป็นวันที่ทีม People ทุกคนเข้าออฟฟิศที่อยู่ชั้น 24 ในโครงการของ One Bangkok Tower 4 (ที่บริษัทผมจะเรียกทีม HR ว่าทีม People)

วันนั้นตอนบ่ายโมงครึ่งผมกับทีมจะมีประชุมเรื่องสำคัญกับทีม Finance ก่อนเข้าประชุมผมจึงไปเข้าห้องน้ำก่อน แล้วก็เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขึ้นในจังหวะที่อยู่ในห้องน้ำ

แน่นอนว่าความรู้สึกแรกคือนึกว่าบ้านหมุน แต่พอผ่านไปได้ 5 วินาทีก็รู้สึกว่าไม่ใช่แล้ว นี่น่าจะเป็นแผ่นดินไหว แล้วก็คิดขึ้นได้ว่า การที่ตึกมันโอนไปเอนมาแบบนี้ถือเป็นเรื่องดี เพราะมันจะช่วยลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้

ผมเดินออกมาจากห้องน้ำและตรงไปที่ห้องทีม People เห็นหลายคนกำลังตื่นตระหนกตกใจ บางคนปลอบเพื่อนที่กำลังน้ำตาไหล ตึกยังคงโคลงเคลงอยู่

ผมเดินเลี้ยวขวาเดินไปตรงประตูหนีไฟ จำภาพได้ว่า ‘ไปร์ท’ น้องที่ดูแลออฟฟิศเปิดประตูหนีไฟออกไป ก็เห็นคนกำลังทยอยเดินลงมาจากชั้นบนเช่นกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ‘ยอด’ CEO บริษัทผมด้วย ซึ่งทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นอย่างประหลาด

ผมเดินลงมาได้ 2 ชั้น แม่ก็โทรมา บอกว่าแผ่นดินไหว ให้ตั้งจิตถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บ้านเราเคารพนับถือ ผมวางหูจากแม่แล้วก็โทรหา ‘ผึ้ง’ ผู้เป็นภรรยา

ผึ้งกำลังขับรถไปงานหนังสือที่ศูนย์สิริกิติ์ เพราะบริษัทของเขาออกบูธอยู่ที่นั่น พอผมบอกเขาว่าแผ่นดินไหว ผึ้งก็เล่าให้ฟังว่าเมื่อกี้ตกใจมาก ว่าทำไมจู่ๆ ก็รู้สึกถนนมันโคลงเคลง นึกว่าตัวเองป่วย แต่พอเห็นคนวิ่งออกมาจากตึกจึงพอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมวางหูแล้วเดินลงบันไดหนีไฟต่อ

ระหว่างเดินลงมา จำได้ว่ามีเสียงในหัวเกิดขึ้นสองประโยค

หนึ่งคือ “ภาวนาน้อยไปหน่อยนะ”

สองคือ “กอดลูกน้อยไปหน่อยนะ”

ผมว่านี่น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่รู้สึกว่ากำลังสบตากับยมฑูต ในความเชื่อทางศาสนาพุทธ คุณภาพของจิตในขณะสุดท้ายจะเป็นตัวกำหนดว่าเราจะไปเกิดในภพภูมิไหน ถ้าทุกอย่างมันจะจบลงในไม่กี่วินาทีต่อจากนี้ ผมไม่แน่ใจว่าผมฝึกฝนมามากพอที่จะได้ไปภพภูมิที่ดีหรือเปล่า

ผมมีลูกสองคนหญิง-ชาย ปรายฝน 9 ขวบ ใกล้รุ่ง 7 ขวบ คิดว่าเขาอยู่โรงเรียนอาคารแค่ 2 ชั้น น่าจะปลอดภัยดี แต่ช่วงเดือนที่ผ่านมาผมทำงานจนค่ำมืดหลายวัน ไม่ค่อยได้ใช้เวลาหัวค่ำร่วมกันมากเท่าที่ควร ก็เลยรู้สึกเสียดายที่ได้กอดลูกน้อยไปหน่อย

จากนั้นผมก็กลับมารู้สึกที่เท้าของตัวเอง พยายามเดินอย่างรู้สึกตัว ประหลาดใจตัวเองเล็กน้อยที่สงบกว่าที่คิด อาจเพราะไม่ได้มีการสั่นไหวเพิ่มเติมให้ตื่นกลัว อาจเพราะรู้สึกว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง อาจเพราะมีเรื่องให้เสียดายไม่มากนัก

เดินลงมาถึงชั้นล่าง มีเจ้าหน้าที่โบกให้เราเดินออกไปนอกตึก หลายคนไปรวมตัวกันที่ลานน้ำพุ บางส่วนเลือกที่จะเดินข้ามไปสวนลุมเลย

หลังจากโล่งอก คำแรกที่ผมคิดขึ้นได้คือ quote ที่ Morgan Housel ชอบพูดถึงบ่อยๆ

“Risk is what’s left over when you think you’ve thought of everything.”

-Carl Richards

ความเสี่ยงคือสิ่งที่ยังเหลืออยู่หลังจากที่เราคิดว่าเราคิดทุกอย่างมาอย่างรอบคอบแล้ว

สิ่งใดที่ถูกคาดการณ์ได้ มักจะถูกป้องกันหรือลดความเสี่ยง

ส่วนสิ่งที่จะสร้างความเสียหายได้มากมาย ก็คือสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้และไม่มีใครพร้อมรับมือ หรือ Black Swan นั่นเอง

ผมเดินไปคุยกับยอด CEO ว่าควรสื่อสารกับพนักงานอย่างไรดี แล้วยอดก็เลยพิมพ์เข้าไปในห้อง Slack ที่มีพนักงานพันกว่าคนว่าอย่ากลับขึ้นไปบนตึก ให้ทุกคนกลับบ้านได้เลย

ผมเจอกับ ‘บอย’ ที่เป็น CTO บอยเล่าว่าตอนเกิดเหตุกำลังนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ พอตึกเริ่มไหวก็เลยเข้าไปหลบอยู่ใต้โต๊ะ แต่พอมันไหวไม่หยุดและได้ยินเสียง “แคร้ก” ของปูน ก็รู้สึกว่าไม่ได้แล้ว เลยวิ่งตรงไปที่ประตูหนีไฟ

ซึ่งตรงกับหลายคนที่ผมได้คุยด้วย ว่าจังหวะที่ทำให้ตัดสินใจเดินไปตรงประตูหนีไฟก็คือการได้ยินเสียงปูนแตกซึ่งทำให้เราจินตนาการถึงขั้นเลวร้ายสุดได้นี่แหละ

เล่ามาถึงตรงนี้ ผมเห็นหลายคนคอมเมนต์ในโซเชียลว่า ช่วงที่เกิดแผ่นดินไหว การเดินลงบันไดหนีไฟอันตรายมาก จริงๆ แล้วควรหาที่กำบังและรอให้แผ่นดินไหวสงบลงก่อน แล้วจึงค่อยเคลื่อนย้าย

ถูกต้องตามทฤษฎี แต่ถ้าลองได้ไปอยู่ในตึกสูงระฟ้าที่ไม่เคยผ่านแผ่นดินไหว และเจอแผ่นดินไหวด้วยระยะเวลาที่ยาวนานขนาดนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิต และรู้สึกได้เลยว่าเรา “อาจจะไป” เมื่อไหร่ก็ได้ ผมไม่แน่ใจว่าเราจะทำในสิ่งที่หัวสมองรู้มากกว่าที่หัวใจรู้สึกได้จริงรึเปล่า

“Everybody has a plan until they get punched in the mouth.”

-Mike Tyson

‘รอง’ น้องชายส่งไลน์ว่ากำลังไปรับเด็กๆ ที่โรงเรียน (ลูกของผมกับน้องชายเรียนโรงเรียนเดียวกัน) หายกังวลไปหนึ่งเปลาะ

ผมโทรหาผึ้งแต่สัญญาณขาดๆ หายๆ พอจะได้ความว่างานหนังสือก็ปิดเหมือนกัน ผึ้งเลยจะขับรถมารับผม แต่รถติดมาก ผมเลยบอกว่าจะเดินย้อนไปเจอกันตรงกลาง

ระหว่างเดินไป ก็ได้ข้อความจากหลายคนว่า

“The government has informed that there will be an aftershock at 2:30 p.m. Please leave the building immediately.

ได้รับแจ้งจากรัฐบาลว่า เวลา 14:30 น. จะเกิดอาฟเตอร์ช็อก กรุณาออกจากตึกโดยด่วน”

เชื่อว่าหลายคนน่าจะได้ข้อความนี้ ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไปก็ดูเป็นตลกร้ายเหมือนกันว่าในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ข้อความที่ดูเหมือนมาจากหน่วยงานภาครัฐ เป็นเพียงสิ่งที่ส่งต่อกันมาทางไลน์เหมือนจดหมายลูกโซ่

ผมเดินหนึ่งกิโลกว่าๆ จนถึงหน้าสถานี MRT คลองเตย ผึ้งก็ขับรถมาถึงแถวนั้นพอดี ผมกระโดดขึ้นรถ ขึ้นทางด่วนแล้วตรงกลับบ้าน ตอนนั้นไม่รู้เลยว่าผมเป็นหนึ่งในคนที่ได้กลับบ้านเร็วมากเมื่อเทียบกับคนในเมืองส่วนใหญ่ในวันนั้น

ถึงหมู่บ้านตอนสี่โมง แวะบ้านน้องชายที่ปรายฝนกับใกล้รุ่งไปเล่นรอ แต่เด็กๆ ไม่ยอมกลับมาด้วย อยากเล่นกันต่อ แต่เราก็อุ่นใจแล้วว่าเขาไม่ได้ตื่นตระหนกตกใจกลัวแล้ว

กลับถึงบ้าน ก็มานั่งดูสถานการณ์ต่อและโทรคุยกับน้องในทีมที่ดูแลออฟฟิศ ตึก One Bangkok ประกาศให้พนักงานเดินขึ้นบันไดหนีไฟเข้าไปเอาของได้ตอน 4.15pm น้องในทีมก็น่ารักมาก เดินถือของของผมลงมาให้ด้วย เพื่อจะส่ง messenger ตามมาให้ที่บ้าน

นั่งคุยกับผึ้ง ผึ้งบอกว่าพอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ก็เพิ่งรู้ตัวเหมือนกันว่าตัวเองไม่ได้ต้องการอะไรเลย แค่อยากกลับบ้านไปเจอหน้าลูกๆ ก็พอ

ตอนเย็นพาผึ้งกับใกล้รุ่งออกไปกินข้าวเย็นที่ร้านใกล้บ้าน ประมาณหนึ่งทุ่มแม่โทรมาถามว่ายังอยู่ที่ตึกรึเปล่า (คงเห็นข่าวว่าหลายคนกลับบ้านไม่ได้เพราะการจราจรเป็นอัมพาต)

ผมบอกว่ากลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว และรู้สึกผิดกับแม่เล็กน้อยที่ไม่ได้ส่งข่าวก่อนหน้านี้

ตอนเกิดเหตุเราเป็นห่วงลูก แต่เรากลับลืมไปเลยว่าแม่เราก็มีลูกเหมือนกัน

ระหว่างที่นั่งกินข้าว ก็คุยกับผึ้งว่าไม่รู้ว่างานหนังสือจะยกเลิกรึเปล่า คอนเสิร์ตโต๋ Piano & I จะได้จัดมั้ย แล้วคอนเสิร์ตทิ้งทวนของ Cocktail ที่ราชมังฯ จะเป็นยังไงต่อ

ผึ้งบอกว่างานหนังสือรอบนี้ทีมงานตั้งใจจัดบูธกันมาก ถ้าต้องยกเลิกงานก็เข้าใจแต่ก็คงเซ็งน่าดู หรือถึงจะจัดงานอยู่แต่คนก็อาจไม่มาเดินก็ได้ เลยต้องทำใจไว้ล่วงหน้า

กลับถึงบ้าน ผมส่งข้อความหาทั้ง ‘พี่เอ๋ นิ้วกลม’ และ ‘ชิงชิง’ ว่าถ้าพรุ่งนี้งานหนังสือยังจัดอยู่ ผมพร้อมจะไปเซ็นหนังสือตอน 6 โมงเย็นตามที่เคยนัดหมายกันไว้

วันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันเสาร์ รู้แล้วว่างานหนังสือจะยังจัดต่อไป ผมสองจิตสองใจว่าจะประกาศลงเพจดีมั้ยว่าจะไปเซ็นหนังสือ แต่ก็คิดว่าไม่เหมาะและคนคงไม่มีอารมณ์เท่าไหร่ เลยไม่ได้ประกาศไป

ช่วงเช้าขับรถไปส่งลูกเรียนเปียโนตามปกติ และนัดเจอกับเพื่อน IMET MAX ในรุ่นเพื่อเอาหนังสือไปให้

ตอนบ่ายไปคอนเสิร์ตโต๋ The Bakery Song Book 2 คนมาเยอะกว่าที่คาด ที่นั่งเต็มประมาณ 95% โต๋ออกมาพูดขอบคุณทุกคนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

ตรงนี้เป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ ว่าเมื่อผ่านวิกฤติมาหมาดๆ อะไรที่ทำได้ อะไรที่ไม่ควรทำ การที่เราออกมาดูคอนเสิร์ตในขณะที่ยังมีคนงานติดอยู่ในตึกสตง.ที่ถล่มลงมาเป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่

ในความเป็นจริงแล้ว โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นอยู่ทุกวัน ซึ่งขึ้นอยู่กับเราแล้วว่า “วงกลมของการใส่ใจ” ของเรานั้นใหญ่แค่ไหน ใหญ่เท่าครอบครัว ใหญ่เท่าบริษัท ใหญ่เท่าจังหวัด ใหญ่เท่าประเทศ หรือจะใหญ่ไปกว่านั้น

คำตอบที่ผมได้ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่ามันถูกต้องหรือไม่ ก็คือเราควรดำเนินชีวิตของเราต่อไป เพียงแต่เราต้องระวังการโพสต์ขึ้นโซเชียลเพื่อไม่ให้มันไปรบกวนใจของคนที่อาจถูกผลกระทบมากกว่าเรา

ช่วงที่ผมชอบที่สุดในคอนเสิร์ตโต๋ คือตอนที่ ‘บอย ตรัย’ เปิดตัวด้วยเพลง ‘ชั่วโมงต้องมนต์ (Magic Moment)’ ในชุด Harry Potter พร้อมคฑาในมือ

ผมร้องเพลงตามและรู้สึกถึงน้ำตาที่รื้นขึ้นมา เพราะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อ 24 ชั่วโมงที่แล้วผมอยู่ในสถานการณ์ที่ต่างออกไปมาก โมเมนต์ที่ตึกสั่นและขาสั่นอยู่บนชั้น 24 และรู้สึกว่าทุกอย่างอาจจบลงภายในไม่กี่นาทีต่อจากนี้ แต่เวลานี้ผมกลับได้มานั่งฟังเสียงร้องสดๆ และดนตรีดีๆ จากนักร้องที่เราชื่นชอบมานาน จังหวะนั้นผมบอกตัวเองในใจดังๆ ว่า “ดีจังเลยที่ยังมีชีวิตอยู่”

จบคอนเสิร์ตโต๋ ผมไปงานหนังสือต่อ คนมาเดินเยอะกว่าที่คาดเอาไว้มาก คิดว่าทั้งผึ้ง พี่เอ๋ และชิงชิง น่าจะใจชื้นขึ้น

ผมไปนั่งที่บูธ KOOB ช่วงแรกก็ไม่มีใครเอาหนังสือมาให้เซ็น น้องที่ดูแลบูธก็ไม่รู้จักผม ถามผมว่าผมไม่ค่อยได้ออกสื่อใช่มั้ย แต่ก็ขอบรีฟหนังสือของผมไปช่วยอธิบายให้คนที่แวะเวียนกันมา สรุปวันนั้นก็ได้เซ็นหนังสือไปร่วม 10 เล่ม และได้นั่งคุยกับแต่ละคนค่อนข้างยาวทีเดียว ก่อนจะได้เดินงานหนังสือนิดหน่อยจนงานปิด

กลับถึงบ้านเกือบสี่ทุ่ม เช็ค Slack ก็เห็นว่า ‘ไปร์ท’ ที่ดูแลออฟฟิศส่งข้อความมาว่าทางอาคาร One Bangkok ได้ตรวจโครงสร้างทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้ว พบว่าโครงสร้างยังแข็งแรง ปลอดภัยดี แต่ลิฟต์จะยังไม่เปิดครบทุกตัว

เช้าวันอาทิตย์ผมตื่นขึ้นมานั่งสรุปสิ่งที่คิดว่าเราจะตัดสินใจเรื่องกลับเข้าออฟฟิศวันไหน การ onboard พนักงานใหม่ในวันอังคารที่ 1 เมษายนเราจะทำอย่างไร และคนที่ทิ้งคอมไว้ที่ออฟฟิศตั้งแต่วันศุกร์เราจะช่วยเขาอย่างไรได้บ้าง

ก็ได้ข้อสรุปกับ CEO ว่า วันจันทร์และอังคารเราจะให้ทำงานที่บ้าน การ onboard พนักงานใหม่จะย้ายไปเป็นออนไลน์ทั้งหมด ซึ่งเราจะส่งคอมด้วย messenger ไปให้ที่บ้านหรือที่โรงแรมหากพนักงานมาจากต่างจังหวัด ส่วนพนักงานที่ทิ้งคอมไว้ที่ออฟฟิศ ทีม IT Support จะไปเก็บคอมและส่ง messenger ไปให้เช่นกัน

ตอนสายๆ เราออกจากบ้านไปพร้อมกัน ผึ้งกับปรายฝนไปงานสัปดาห์หนังสือ ส่วนผมกับใกล้รุ่งไปเอารถที่ผมจอดทิ้งไว้ที่ออฟฟิศและไปเรียนเลขที่ห้างพาราไดซ์ กลับถึงบ้านก็นั่งเขียนประกาศเพื่อส่งให้พนักงานทุกคนตอน 5 โมงเย็น

วันจันทร์ผมไม่ได้เข้าออฟฟิศ แต่ทีมที่ดูแลออฟฟิศเข้าไปเดินสำรวจตึกกับทางเจ้าของอาคาร ส่วน IT Support ก็เข้าไปเพื่อส่งคอมให้พนักงาน ระหว่างวันมีข่าวลือว่ามีคนรู้สึกว่าตึกสั่นไหว ก็เลยต้องอพยพลงมาข้างล่างกันอีกรอบ ดูในข่าวก็มีหน่วยงานราชการหลายที่ที่ทำแบบนั้นเช่นกัน ดูข่าวจากกรมอุตุแล้ว aftershocks ที่เกิดไม่น่าจะมีผลกระทบถึงไทยได้ น่าจะเป็นการที่คนยังตื่นตระหนกกับแผ่นดินไหวอยู่

เห็นข่าวนี้แล้วทำให้ผมนึกถึงช่วงแรกๆ ที่โควิดมาถึงประเทศไทย และหนังสือพิมพ์ก็ลงข่าวว่าคนที่ติดเชื้อไปไหนมาบ้าง เพื่อที่ประชาชนจะได้หลีกเลี่ยงการไปพื้นที่เหล่านั้น

เราจะ over-react กับสิ่งที่เรายังไม่ค่อยเข้าใจเสมอ

วันอังคารไม่มีเหตุอะไรที่น่าเป็นห่วงเกิดขึ้นอีก ผมปรึกษากับยอดแล้วจึงตัดสินใจว่าให้ออฟฟิศกลับมาเปิดได้ตั้งแต่วันพุธ แต่ถ้าใครยังไม่สะดวกเข้าออฟฟิศก็ไม่เป็นไร เพราะหลายคนก็ย้ายออกจากคอนโดกลับไปอยู่บ้านที่อยู่ไกลจากออฟฟิศพอสมควร

วันพุธขับรถไปทำงานแต่เช้า ถนนโล่งกว่าปกติ คิดว่าคนคงยังไม่กลับเข้าออฟฟิศกัน ค่าฝุ่นแถวบ้านดูน่าเป็นห่วง แต่ที่สวนลุมต่ำกว่า 100 ก็เลยตัดสินใจไปวิ่งที่สวนลุม กลับเข้าออฟฟิศ เจอน้องในทีม รู้สึกราวกับว่าไม่ได้เจอกันนานมากทั้งที่เพิ่งเดินลงจากตึกมาด้วยกันเมื่อ 5 วันที่แล้วนี่เอง

วันพฤหัสฯ ผมทำงานที่บ้าน แต่ตอนเย็นมีนัดกินข้าวกันที่ One Bangkok เจอยอด CEO บอย CTO และอีกหลายคนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่แผ่นดินไหว ผมถามยอดว่าตอนที่เกิดเหตุเกิดความคิดอะไรบ้าง

ยอดตอบว่า สิ่งที่คิดได้ตอนนั้นก็คือ สิ่งที่เราทำมาทั้งหมดอาจไม่มีความหมายเลยก็ได้ งานทั้งหมดที่ทำมา เงินทั้งหมดที่เก็บมา ทุกอย่างอาจจบลงได้ในพริบตา ในวันเกิดเหตุยอดกลับถึงบ้านแล้วก็เลยตั้งใจเปิดไวน์ราคาแพงมาดื่ม

ผมก็บอกทุกคนบนโต๊ะอาหารเช่นกัน ว่าพอผ่านเหตุการณ์นั้นและความรู้สึกนั้นมาแล้ว พอต้องมาเจอเรื่องที่เคยทำให้เราขุ่นใจ เช่นลูกๆ ทะเลาะกัน แฟนอารมณ์ไม่ดี งานเครียด หรืออะไรก็ตาม ผมรู้สึกเป็นบวกกับมันเกือบทั้งนั้นเลย เพราะไม่ว่าเราจะไม่ชอบใจสิ่งนั้นแค่ไหน แต่ยังไงมันก็ดีกว่าการที่เราจะ ‘ไม่ได้อยู่ตรงนี้’ เพื่อรับรู้ความรู้สึกเหล่านั้นอีกแล้ว

ผมคิดว่าประสบการณ์แผ่นดินไหวคราวนี้เป็นหนึ่งในเหตุการณ์เปลี่ยนชีวิตของผม มันทำให้ผมเห็นชัดขึ้นว่าอะไรที่ควรให้คุณค่าและให้เวลา และอะไรที่เราเคยคิดว่าสำคัญ แต่ที่จริงแล้วมันไม่ได้สำคัญขนาดนั้นหรอก

แต่ก็รู้ทันตัวเองอีกว่า พอเวลาผ่านไป 3 เดือน 6 เดือน ผมน่าจะลืมความรู้สึกนี้ ก็เลยหยิบสมุดบันทึกที่ไม่ได้เขียนมาร่วมเดือน แล้วเขียนความตั้งใจ 3 ข้อลงไป พอนำสิ่งที่อยู่ในหัวจรดลงในกระดาษด้วยปากกา ความรู้สึกก็หนักแน่นขึ้นเช่นกัน

ไม่สำคัญว่า 3 ข้อที่ผมเขียนลงไปคืออะไร สำคัญคือเราได้ทบทวนหรือไม่ ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ให้อะไรกับเรา อะไรคือสิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง และจากนี้เราจะใช้ชีวิตที่เหลือแบบไหน

ขอให้เราผ่านแผ่นดินไหวด้วยจิตใจที่ไม่เหมือนเดิมครับ


วันเสาร์ที่ 5 เมษายนช่วงบ่าย 2 ใครไปงานสัปดาห์หนังสือ แวะมาทักทายกันได้ที่บูธ K33 สำนักพิมพ์ KOOB ครับ