ผมเคยเขียนถึงหนังสือ Four Thousand Weeks ของ Oliver Burkeman ว่าเป็นหนังสือเปลี่ยนชีวิตแห่งปี 2022
หนึ่งในบทเรียนที่สำคัญที่สุดในหนังสือเล่มนี้ คือให้เรายอมรับใน “ความจำกัด” ของตัวเอง (finitude)
โลกทุนนิยมชอบสอนว่าเราไม่มีขีดจำกัด เราสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ จะเป็นอะไรก็ได้ เพียงเรายอมจ่ายเพิ่มอีกหน่อยเพื่อให้ได้ของชิ้นนี้มา หรือได้ความรู้ชุดนี้มา แล้ว productivity เราจะสูงขึ้น ชีวิตเราจะดีขึ้น และเราจะ “เอาอยู่” ทุกอย่าง
แต่ไม่ว่าเราจะอ่านหนังสือมากี่เล่ม ลองแอปมาแล้วกี่ตัว ฟังพ็อดแคสต์มาแล้วกี่ตอน ก็ยังไม่เห็นว่าจะจัดการชีวิตได้อยู่หมัดสักที
เพราะพอเราคิดว่าทุกอย่างกำลังไปได้สวย ชีวิตก็มักจะส่งอะไรที่เราคิดไม่ถึงมาให้เสมอ ดั่งคติพจน์ของชาวยิวที่ว่า
“Mann Tracht, Un Gott Lacht”
“Man plans and God laughs.”
Four Thousand Weeks เลยบอกให้เรายอมรับความจริงที่ว่า วันที่เราจะเป็นคนที่เพอร์เฟ็กต์ ทำทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์แบบนั้นจะไม่มีวันมาถึง เราจะมีงานค้างอยู่เสมอ และเราไม่สามารถทำตามความต้องการของทุกคนได้อย่างไร้ที่ติ
เมื่อยอมรับความจริงข้อนี้ เราจะพบความโล่งใจอย่างประหลาด เพราะเราจะเปลี่ยนบทบาทจากคนที่ทำอะไรเพราะ “ต้องทำ” และ “ควรทำ” เป็นคนที่ทำอะไรเพราะ “อยากทำ” มากขึ้น โดยไม่ต้องมีเหตุผล และไม่มัวกังวลว่าการกระทำนั้นจะทำให้เราเป็นคนดีขึ้นหรือเก่งขึ้นหรือไม่
การตระหนักถึงจุดนี้เป็นเครื่องเตือนสติที่สำคัญสำหรับคนรักการพัฒนาตัวเอง และคนที่เป็น “เดอะแบก” ทั้งในที่ทำงาน ที่บ้าน หรือแม้กระทั่งในที่สาธารณะ
เมื่อเรารู้สึกว่าเราต้องเก่งขึ้นทุกวัน และต้องเป็นทุกอย่างสำหรับทุกคน เราก็อาจรู้สึกว่าเราไม่มีเวลาสำหรับเรื่อง “ไร้สาระ” และไม่อาจแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น
นานวันเข้าเราก็เลยกลายเป็นคนไม่กล้าอนุญาตให้ตัวเองมีความสุข
ผมนึกถึงฉากหนึ่งที่ผมชอบที่สุดในซีรี่ส์ “รักฉุดใจนายฉุกเฉิน My Ambulance” (2019) ที่นำแสดงโดย ซันนี่ (เป้ง) ใหม่ ดาวิกา (ทานตะวัน) สกาย วงศ์ระวี (ฉลาม) และ ต้าเหนิง กัญญาวีร์ (บะหมี่)
เป้งคบกับทานตะวันมาตั้งแต่สมัยเรียน โดยเป้งมีพลังวิเศษที่หากทานตะวันเรียกหาเป้งเมื่อไหร่ เป้งก็สามารถทะลุมิติไปเจอทานตะวันได้ทันที
แต่ด้วยภาระหน้าที่ของความเป็นแพทย์ ทำให้หมอเป้งไม่ได้ดูแลทานตะวันเท่าที่ควร จนทานตะวันเริ่มมีใจให้ “ฉลาม” แพทย์ฝึกหัด ส่วน “บะหมี่” ที่เป็นคนขับรถพยาบาลก็แอบชอบหมอเป้งมานานแล้ว
ใน EP7 หมอเป้งขอให้บะหมี่ไปช่วยลองแหวน เพราะไซส์นิ้วนางของบะหมี่และทานตะวันใกล้เคียงกัน หมอเป้งตั้งใจจะขอทานตะวันแต่งงาน แต่พอคืนนั้นได้คุยกับทานตะวันและรู้สึกได้ว่าทานตะวันเริ่มมีใจให้ฉลาม ก็เลยทะเลาะกันจนหมอเป้งท้าให้ทานตะวันเลิก และทานตะวันก็ดันตอบตกลง
หมอเป้งที่ยังช็อคๆ งงๆ เดินกลับมาเจอบะหมี่พอดี
บะหมี่: หนูบังเอิญมาเดินเล่นแถวนี้พอดีอ่ะพี่…บังเอิญดีเนอะ…(เห็นหน้าหมอเป้งจ๋อยๆ) พี่ไม่เป็นไรแน่นะ?
หมอเป้ง: เลิกกันแล้วอ่ะ…
บะหมี่: ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเลยนะพี่
หมอเป้ง: (ยิ้มเศร้าๆ คูลๆ) ร้องทำไม…ร้องแล้วก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร
บะหมี่: อย่างน้อยก็ได้ร้องไงพี่
หมอเป้งพยายามกลั้นน้ำตา ไฟตึกโดยรอบค่อยๆ ดับลง หมอเป้งบอกบะหมี่ว่าไปกันเถอะ บะหมี่เดินเข้ามาหา เอามือวางบนไหล่หมอเป้ง
บะหมี่: ก็ถ้าพี่รู้สึกอ่ะ พี่ก็แค่ร้องออกมาดิ พี่กลัวอะไรอ่ะ มันไม่มีใครเห็นอยู่แล้วหนิ ไม่ต้องเก่งไปหมดก็ได้พี่
(หมอเป้งยิ้มส่ายหน้า แล้วบอกว่าไปกันได้แล้ว)
บะหมี่เลยเดินเข้าไปโอบกอดหมอเป้ง แล้วหมอเป้งก็ปล่อยโฮออกมา
ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีอะไรที่เรา “ต้องเป็น” หรือ “ต้องทำ” ทั้งนั้น
เราเลือกได้ว่าเราอยากเป็นแบบไหน อยากทำอะไร เพียงแต่ที่ผ่านมาเราอาจใช้ชีวิตแบบมุ่งไปข้างหน้ามากเกินไป จนเราหลงลืมไปว่าทำไมเราถึงมุ่งไปข้างหน้าตั้งแต่แรก
วง Aerosmith เคยกล่าวไว้ว่า Life’s a journey, not a destination.
การมีจุดมุ่งหมายเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็อย่าลืมสนุกกับการเดินทางด้วย
เราไม่ต้องเป็นทุกอย่างสำหรับทุกคนในทุกที่และทุกเวลา
ทำตัวไร้สาระบ้างถ้าหากมันทำให้เรามีความสุข และหากมีความทุกข์ก็แค่ระบายมันออกมา
“ก็ถ้าพี่รู้สึกอ่ะ พี่ก็แค่ร้องออกมาดิ พี่กลัวอะไรอ่ะ มันไม่มีใครเห็นอยู่แล้วหนิ ไม่ต้องเก่งไปหมดก็ได้พี่”
ทิ้งความกังวลที่จะไม่ได้บรรลุตัวตนอันสมบูรณ์แบบ อยู่กับปัจจุบันให้ไม่น้อยกว่ามุ่งมั่นสร้างอนาคต
เตือนตัวเองว่าไม่ต้องเก่งไปหมดก็ได้ครับ
