5 รางวัลของคนทำงานดี

1.ได้งานเพิ่ม

ฟังดูเหมือนตลกร้าย แต่ก็เป็นความจริงที่ว่า คนที่ทำงานดีมักจะได้ทำงานเพิ่ม จนฝรั่งมีคำพูดที่ว่า

“If you want something done, give it to a busy person.”

หากมองจากมุมคนทำงาน อาจจะรู้สึกว่าไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่ เพราะงานปกติก็ยุ่งจะแย่อยู่แล้ว ทำไมยังต้องแบกรับงานอื่นๆ อีก เพื่อนอีกคนข้างๆ นั่งอยู่ว่างๆ ทำไมไม่ให้เค้าทำงานเพิ่มบ้าง

แต่ถ้ามองในมุมหัวหน้า หรือผู้บริหาร มันย่อมเมคเซนส์ที่สุดแล้ว เพราะถ้าหัวหน้ามีงานชิ้นหนึ่งที่สำคัญสำหรับทีม เขาก็ย่อมอยากให้งานออกมาดี เขาจึงต้องมอบหมายให้คนที่เขาไว้ใจ

ส่วนคนที่ทำงานได้ไม่ดีนัก แม้ว่าเขาจะดูว่างกว่าเรา เอาเงินเดือนหารชั่วโมงการทำงานแล้วเขาอาจจะได้เงินมากกว่าเราด้วยซ้ำ ก็ให้คิดเสียว่าเขาไม่ได้มีโอกาสเรียนรู้และเปล่งประกายเท่าเรา ก็อาจจะช่วยลดคำถามในใจเราได้

ให้ระลึกถึงกฎทางฟิสิกส์ที่ว่า “พลังงานไม่มีวันสูญหายไปไหน” ดังนั้นยิ่งเราลงแรงไปในงานที่องค์กรให้ความสำคัญ “พลังงาน” จะถูกแปรรูปไปเป็น “คุณค่า” และจะกลับมาตอบแทนเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

2.Lifestyle Inflation

ตอนเราเงินเดือน 25,000 เราคิดว่าตอนเงินเดือน 50,000 เราคงหายใจคล่องกว่านี้

พอเราเงินเดือน 50,000 เราก็คิดว่าถ้าเราเงินเดือน 75,000 คงจะสบายน่าดู

และพอเราเงินเดือน 75,000 เราก็คิดว่าถ้าเราเงินเดือน 100,000 คงไม่ต้องกังวลเรื่องการเงินอีกต่อไป

จะบอกใบ้ให้ว่า มันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดนะครับ

เพราะสิ่งที่โตพร้อมรายได้ที่มากขึ้น คือความคาดหวังที่มากขึ้น ทั้งจากตัวเองและจากคนรอบข้าง

เราจะเริ่มกินข้าวนอกบ้านมากขึ้น เริ่มสั่งเครื่องดื่มแก้วละเป็นร้อยบ่อยขึ้น เริ่มซื้อของแบรนด์เนม เริ่มไปเที่ยวต่างประเทศ เริ่มซื้อรถซื้อบ้าน หนี้สินเราจะเริ่มรุ่งรัง จนถึงวันหนึ่งเราแทบจะนึกไม่ออกเลยว่าถ้าเราต้องกลับไปมีเงินเดือน 25,000 เราจะอยู่ได้ยังไง

ถ้าเราเป็นคนชั้นกลางที่อยู่ในเมืองใหญ่และกำลังสร้างเนื้อสร้างตัวหรือสร้างครอบครัว นี่คือทางที่เราแทบทุกคนต้องผ่าน

แต่สำหรับคนทำงานดี ที่ได้รับการเลื่อนขั้นบ่อยๆ จะเจอ Lifestyle Inflation ในอัตราเร่ง

Lifestyle Inflation จึงไม่ใช่ “รางวัล” แต่เป็น “ด่าน” ที่ถ้าเราผ่านมันไปได้ก็จะไม่เจอความลำบากทางการเงิน

พี่อ้น วรรณิภา mentor ของผมเคยสอนเอาไว้ว่า

“Live one level below what you can afford.” แล้วเราจะรู้สึกว่ามีเงินพอใช้ตลอด

คนไม่น้อยชอบทำตรงกันข้าม คือ Live one level above. ซึ่งถ้าติดนิสัยนี้ ต่อให้มีเงินเดือนหลายแสนก็อาจชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่ดีก็ได้

3.ไม่ต้องอัพเดต LinkedIn

เพราะคนที่ทำงานดีมักจะมีคนชวนไปร่วมงานด้วยตลอด

ผมเห็นคนทำงานเก่งๆ ระดับตำนานหลายคนที่โปรไฟล์ใน LinkedIn นั้นแทบไม่มีอะไรเขียนเอาไว้เลย เพราะเขาไม่จำเป็นต้อง impress คนที่เขาไม่รู้จัก

ถึงกระนั้นก็ตาม ผมก็ยังสนับสนุนให้อัพเดต LinkedIn ให้สอดคล้องกับงานปัจจุบันของเรา เพราะมันจะทำให้เราดูน่าเชื่อถือเมื่อเราต้องทักไปหาคนที่เราอยากชวนมาร่วมงานด้วย

4.อิสรภาพในการทำงาน (Autonomy)

เมื่อเราขึ้นชื่อว่าทำงานดี เราก็จะมีทางเลือกเยอะ โดยเฉพาะเรื่องการเลือกบริษัทที่จะทำงาน และเลือกหัวหน้าที่จะร่วมงานด้วย

และถ้าเราเลือกหัวหน้าได้ถูกต้อง เราก็จะได้หัวหน้าที่เป็นคนที่ทำงานดีเช่นกัน

เมื่อหัวหน้าเป็นคนที่ทำงานดี เขาก็มีแนวโน้มที่จะ empower ลูกทีมให้คิดและตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง

เมื่อหัวหน้าไว้ใจเราแล้วว่าเราจะทำงานออกมาดี เขาจะให้พื้นที่กับเราในการทำงาน จะไม่มานั่งจ้ำจี้จ้ำไชหรือ micromanage เรา เพราะเขาอยากเอาเวลาไปทำงานอื่นที่สร้างคุณค่าได้มากกว่า

เมื่อหัวหน้า “ปล่อยมือ” เราก็จะมีพื้นที่ในการทำ job crafting คือออกแบบงานของตัวเองว่าจะมีขอบเขต เป้าหมาย และผลลัพธ์ (deliverables) อะไรบ้าง รวมถึงจะใช้วิธีใดในการทำงานนั้นออกมาให้ตรงหรือเกินความคาดหมายของหัวหน้าและแม้กระทั่งของเราเอง

อิสรภาพในการทำงานหรือ autonomy น่าจะเป็นหนึ่งในรางวัลที่สำคัญที่สุดของคนทำงานดี เพราะคนทำงานดีไม่ชอบให้ใครมาบอกว่าเขาต้องทำงานอย่างไร แค่บอกภาพใหญ่มาว่าต้องการอะไรแล้วเดี๋ยวผมจะจัดให้คุณเอง

ดังนั้น ในมุมของหัวหน้า ถ้าเรามีลูกทีมฝีมือดีและซื่อสัตย์อยู่แล้ว ก็แค่บอกเป้าหมายให้เขารับทราบ จากนั้นก็อย่าไปทำตัวเกะกะ – Get out of the way! – นี่คือการบริหารแบบไม่ต้องบริหารที่ win-win กันทุกฝ่าย

5.อิสรภาพในการใช้ชีวิต (Lifestyle Design)

พอเราพิสูจน์ตัวเองมามากพอ เรื่องอื่นๆ ที่มัน apply กับพนักงานคนอื่นจะเริ่มมีผลกับเราน้อยลง

เช่นจะแต่งตัวมาทำงานอย่างไร จะเริ่มงานหรือเลิกงานกี่โมง สัปดาห์นี้ทำอะไรสำเร็จไปแล้วบ้าง หัวหน้า ผู้บริหาร หรือแม้กระทั่งลูกค้าอาจจะแทบไม่แคร์เลยด้วยซ้ำ

ไม่มีนักลงทุนคนไหนที่เรียกร้องให้ Warren Buffet มานั่งอธิบายว่าแต่ละวันเขาทำอะไรบ้าง นักลงทุนก็แค่เอาเงินมาให้บัฟเฟตต์และบอกว่าอยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ – Just do your thing.

พี่ต่อ ธนญชัย ศรศรีวิชัย ผู้กำกับโฆษณาระดับโลก จะแต่งตัวอย่างไร จะโกนหนวดหรือไม่เวลามาพรีเซนต์งาน ผมก็เชื่อว่าคงไม่มีผลต่อการตัดสินใจซื้องานของลูกค้า เผลอๆ ลูกค้าจะอยากให้พี่ต่อไว้หนวดเคราและใส่เสื้อกล้ามมาพรีเซนต์งานด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าถ้าเรายังเป็นพนักงานประจำและยังต้องเข้าออฟฟิศ ก็คงยังต้องทำตามกฎในการอยู่ร่วมกันอยู่บ้าง แต่ก็ขอให้รู้ว่าเมื่อเราทำงานดี กฎกติกาบางเรื่องจะมีผลกับการประเมินผลของเราน้อยลง เพราะหัวหน้าและผู้บริหารให้คุณค่ากับผลงานและ impact ของเรามากกว่าสิ่งเหล่านั้น

เมื่อเราทำงานได้ดี เราจะมีอิสรภาพในการออกแบบชีวิต และได้ทำสิ่งที่สำคัญสำหรับเราครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว เพื่อนฝูง งานอดิเรก และการได้อยู่นิ่งๆ กับตัวเองครับ