จะซื้อหนังสือดีๆ อย่าไปดูราคา

ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าการตั้งราคาหนังสือนั้นแตกต่างจากการตั้งราคาสินค้าชนิดอื่น

หนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คภาษาไทยราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 200 บาท ส่วนหนังสือภาษาอังกฤษปกแข็งเล่มหนาๆ ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 1,200 บาท จากราคาต่ำสุดไปสูงสุดต่างกันเพียง 6 เท่า

โรงแรม 2 ดาวคืนละ 600 บาท
โรงแรม 5 ดาวคืนละ 6,000 บาท
ต่างกัน 10 เท่า

ข้าวมันไก่จานละ 60 บาท
โอมากาะเสะหัวละ 3,000 บาท
ต่างกัน 50 เท่า

เสื้อยืดตลาดนัดตัวละ 150 บาท
เสื้อยืด Balenciaga ตัวละ 15,000 บาท
ต่างกัน 100 เท่า

สินค้าส่วนใหญ่จะมีช่วงราคาต่างกันระดับสิบเท่าหรือร้อยเท่าเสมอ ยกเว้นสินค้าที่เป็นสื่ออย่างหนังสือหรือภาพยนตร์

ภาพยนตร์นั้นต่อให้หนังทุ่มทุนสร้างเท่าไหร่ ผู้กำกับหรือนักแสดงจะเทพแค่ไหน หนังจะยาวเท่าไหร่ ตั๋วโรงหนังก็แพงกว่าหนังเกรดบีไม่เกินสองเท่า

หนังสือก็เช่นกัน แต่เพิ่มเติมตรงที่เราเก็บเกี่ยวได้นานกว่า ภาพยนตร์หนึ่งเรื่องสร้างความบันเทิงได้ 2-3 ชั่วโมงและดูจบภายในวันเดียว ส่วนหนังสือหนึ่งเล่มสร้างความบันเทิงได้เป็นสิบชั่วโมงและกินเวลาหลายสัปดาห์หรือแม้กระทั่งหลายเดือน

ธรรมดาราคาของสินค้าชิ้นหนึ่งจะแปรผันตามต้นทุน คุณภาพ แบรนด์ และความต้องการในตลาด

ยิ่งคุณภาพดีราคายิ่งแพง ยิ่งแบรนด์ดังราคายิ่งแพง ยิ่งคนต้องการเยอะราคายิ่งแพง

แต่หนังสือระดับ Bestseller ขายได้เป็นล้านเล่ม จากนักเขียนชื่อดังระดับโลก ก็ราคาแทบไม่แตกต่างจากหนังสือของนักเขียนโนเนมที่ขายไม่ออกเลย ราวกับว่ากฎการตั้งราคาสินค้านั้นใช้ไม่ได้กับราคาหนังสือ หรือถึงจะมีผลก็น้อยกว่าสินค้าชนิดอื่นๆ อย่างแน่นอน

นั่นหมายความว่าอะไร?

หมายความว่า ถ้าเรารู้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือดี และเราตั้งใจจะอ่านมัน เราก็ไม่ควรกังวลเรื่องราคา เพราะยังไงก็คุ้ม

หนังสือหนึ่งเล่มใช้เวลาเขียนหลายปี เป็นการรวบรวมความรู้ของคนหนึ่งคนมาเกือบทั้งชีวิต มันผ่านการคัดกรองจากผู้เขียน กองบ.ก. และสำนักพิมพ์มาแล้วเป็นอย่างดี และไม่ว่าต้นทุนหนังสือเล่มนี้ – ทั้งในเชิงปัญญา ในเชิงเศรษฐศาสตร์ และในเชิงแบรนดิ้ง – จะสูงมากขนาดไหน สุดท้ายราคาขายของมันก็แทบจะไม่ได้ต่างจากหนังสือเล่มอื่นที่มีต้นทุนต่ำกว่านี้เป็นสิบเท่าเลย

ดังนั้น หนังสือราคา 500 บาท หรือ 1,000 บาท จึงไม่ใช่หนังสือราคาแพง ตราบใดที่มันเป็นหนังสือที่ดี ที่เราได้อ่าน และเราเอาไปใช้งานต่อได้

จะซื้อหนังสือดีๆ อย่าไปดูราคาครับ

ข้อดีของการเขียน To-Do List บนกระดาษตอนหมดวัน

นิสัยอย่างหนึ่งที่ผมเริ่มทำมาไม่นานแต่รู้สึกว่ามีประโยชน์ คือการเขียน To-Do List ตอนหมดวัน แทนที่จะเขียนตอนเช้า

ข้อดีของการเขียน To-Do List บนกระดาษเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนเลิกงานมีดังนี้

  • เป็น “พิธีกรรม” (ritual) อย่างหนึ่งที่บอกสมองให้รู้ว่า ตอนนี้เรากำลังจะเลิกงานแล้วนะ การเขียน To-Do List คืองานชิ้นสุดท้ายที่จะทำในวันนี้ก่อนที่จะปิดคอมแล้วไปทำอย่างอื่น
  • เป็นการบังคับตัวเองให้รีวิวงานที่ทำมาในวันนี้ งานไหนที่เสร็จแล้วก็ขีดฆ่าทิ้ง งานไหนที่ยังไม่เสร็จก็ขึ้นกระดาษ A4 แผ่นใหม่เพื่อเอาไว้ทำวันพรุ่งนี้
  • ผมชอบเขียนลงกระดาษมากกว่าเขียนลงแอป เพราะบนแอปมันมีความรู้สึก “ไม่รู้จบ” จะใส่งานลงไป 20 ชิ้นก็ได้ แต่กระดาษมีพื้นที่จำกัด ซึ่งสอดคล้องกับข้อจำกัดทางกายภาพของมนุษย์และข้อจำกัดของเวลาทำงาน เราเลยจะไม่ใส่งานลงไปมากเกินกว่าที่เราเองจะทำไหวในหนึ่งวัน
  • เมื่อเราตัดสินใจแล้วว่ามีอะไรบ้างที่เราจะเก็บไว้ทำวันพรุ่งนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงงานเหล่านั้นในวันนี้อีกต่อไป เหมือนคำพูดที่ไซตามะ พระเอกการ์ตูนเรื่อง One Punch Man เคยกล่าวไว้ว่า “ปัญหาของวันพรุ่งนี้ ก็ให้ตัวฉันในวันพรุ่งนี้จัดการละกัน”*
  • ช่วงหัวค่ำหรือก่อนเข้านอน ถ้าแว้บอะไรขึ้นมาได้ ก็เขียนต่อท้ายใน To-Do List ของวันพรุ่งนี้ได้เลย เมื่อเราได้เขียนลงกระดาษที่เรามั่นใจว่าพรุ่งนี้เราจะเห็นแน่นอน ความกังวลใจก็จะลดลง ไม่เก็บไปคิดจนนอนไม่หลับ
  • พอเราเขียนงานเหล่านั้นลงกระดาษ แล้วไปนอนสักคืนหนึ่ง (sleep on it) เมื่อตื่นขึ้นมาดูลิสต์นั้นอีกที งานบางงานเหมือนจะดูง่ายขึ้น ผมเดาว่าช่วงที่เรานอน สมองอาจจะเอางานบางชิ้นไป “ขบคิด” ต่อในจิตใต้สำนึก พอตื่นขึ้นมาก็เลยรู้สึกว่างานเหล่านั้นถูกย่อยมาแล้วในระดับหนึ่ง
  • หลายคนชอบการเก็บเตียงให้เรียบร้อยในตอนเช้า เพราะตอนค่ำหลังจากเหนื่อยมาทั้งวัน ได้เห็นเตียงที่ spark joy แล้วสามารถเอนกายลงได้ทันที ในมุมกลับกัน การตื่นเช้ามาแล้วมี To-Do List รออยู่แล้วก็ช่วยให้เราสามารถเริ่มต้นวันได้อย่างไม่อ้อยอิ่ง การเก็บเตียงนอนตอนเช้า กับการเขียน To-Do List ตอนเย็น จึงเป็นเหมือนหัว-ก้อยของเหรียญเดียวกัน

ลองเอาไปปรับใช้ดูนะครับ


* ขอบคุณเพจเขียนไว้ให้เธอที่แนะนำให้รู้จักกับประโยคนี้ครับ

ก่อนจะทำอะไร ถามตัวเองว่ายืนระยะได้รึเปล่า

ผมเคยได้รับเชิญไปพูดเรื่อง Time Management ให้กับองค์กรใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งผมเลือกตั้งชื่อหัวข้อว่า “52 Things I Know About Time Management”

1 ใน 52 ข้อที่ผมพูดถึง คือ The best routine is the one you can keep doing – รูทีนที่ดีที่สุดคือรูทีนที่เราทำได้เรื่อยๆ

ฟังดูเป็นเรื่องธรรมดาแต่ผมว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก

เพราะคนที่สนใจเรื่อง routine – ซึ่งมักจะเป็นคนที่สนใจเรื่อง productivity – มักจะหวังผลเลิศจากสิ่งที่เพิ่งได้เรียนรู้มา เช่น

การตื่นนอนตั้งแต่ตี 5 ตามหนังสือ The 5AM Club

การเขียน gratitude journal เพื่อจดสิ่งที่เราขอบคุณ

การจดโน้ตแบบ Zettelkasten ที่ลิงค์คลังความรู้ของเราไว้ด้วยกัน ช่วยให้เราเชื่อมโยงความคิดที่หลากหลายได้

การกินคลีน

การออกกำลังกายตามอินฟลูชื่อดังในยูทูบ

การวิ่งให้ได้เพซห้าต้นๆ หรือวิ่งจบมาราธอนแบบ sub-4

เมื่อเราเห็นคนอื่นทำแล้วดี ทำแล้วมีคนชื่นชม เราก็อยากทำได้บ้าง ซึ่งบังคับให้ต้องปรับเปลี่ยนหรือฝืนตัวเองพอสมควร

และบ่อยครั้งที่เราตั้งเป้าสูงเกินไป เร่งรัดเกินไป หรือเคร่งครัดเกินไป จนเราอาจจะทำได้แค่ไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์แล้วก็ต้องล้มเลิกด้วยความรู้สึกเฟลๆ

ดังนั้น ก่อนที่เราจะอยากทำให้ได้อย่างเขา ต้องประเมินตัวเองด้วยว่ามันเหมาะกับเรารึเปล่า

ถ้าการตื่นตี 5 มันไม่ได้เหมาะกับบริบทชีวิตเรา ก็ตื่นสายหน่อยก็ได้

ถ้าการจดโน้ตแบบ Zettelkasten มันไม่ได้ถูกจริตคนชิลๆ อย่างเรา ก็อย่าไปฝืน

ถ้ากินคลีนแล้วไม่มีความสุข และทำให้คนรอบข้างลำบาก ก็ควรกินแบบผสมผสานรึเปล่า

ถ้าวิ่งเพซห้ากว่าแล้วทำให้เราไม่สนุกกับการวิ่ง การวิ่งเพซหกเพซเจ็ดก็ไม่ผิดอะไร

คล้ายกับสิ่งที่ Morgan Housel เขียนไว้ในหนังสือ The Psychology of Money ว่าปัจจัยสำคัญที่สุดในการลงทุนคือ “เวลา” ที่เราอยู่ในตลาด

95% ของมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดของ Warren Buffett นั้นเพิ่งงอกเงยหลังจากบัฟเฟตต์พ้นวัยเกษียณมาแล้ว

มีนักลงทุนหลายคนที่ทำผลตอบแทนปีต่อปีสูงกว่าบัฟเฟตต์เสียอีก แต่เขาก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่าบัฟเฟต์ เพราะไม่ได้ลงทุนมายาวนานเท่า

เพราะ “เวลา” หรือ “t” นั้นคือ “ตัวเลขยกกำลัง” ในสมการผลตอบแทนการลงทุน

ผลตอบแทนต่อปีจะเยอะเท่าไหร่ จึงไม่สำคัญเท่าเราอยู่กับมันยาวนานแค่ไหน

ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องทำ routine ที่ “ผลตอบแทน” เยอะก็ได้ เอาที่ผลตอบแทนพอประมาณ แต่เราสามารถทำได้เป็นปีๆ หรือบางทีก็ทำได้ทั้งชีวิต

“I’m not interested in anything that’s not sustainable. Friendships, investing, careers, podcasts, reading habits, exercise habits. If I can’t keep it going, I’m not interested in it.”
Morgan Housel

ก่อนจะทำอะไร ถามตัวเองว่ายืนระยะได้รึเปล่าครับ

สมการความสุข / สมการความทุกข์

ผมเคยเขียนถึงสมการความสุขไว้ในบล็อกนี้หลายครั้งว่า

Happiness = Reality – Expectations

ความสุขเท่ากับความจริงลบความคาดหวัง

ถ้าความจริงมันดีกว่าที่เราคาดหวัง เราก็จะมีความสุข

ถ้าความจริงมันแย่กว่าที่เราคาดหวัง ผลออกมาย่อมเป็นลบ นั่นแสดงว่าเรากำลังมีความทุกข์

ยิ่งเรามีความคาดหวังมากเท่าไหร่ เรายิ่งเพิ่มโอกาสที่จะมีความทุกข์มากเท่านั้น

แต่ถ้าเราไม่ได้คาดหวังอะไรเลย เราก็จะเป็นคนที่มีความสุขได้ง่ายมาก

อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องระวัง ก็คือเราอาศัยอยู่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วมาก เมื่อโลกเปลี่ยนแปลง ความจริงย่อมเปลี่ยนไป แต่คนเราก็ยังยึดติดกับความเคยชินและความคาดหวังเดิมๆ

เมื่อความจริงเปลี่ยน แต่เราคาดคั้นให้มันเป็นเหมือนเดิม ความสุขก็อาจลดน้อยถอยลงได้เช่นกัน

อีกสมการหนึ่งที่ผมเพิ่งเจอและอยากเอามาเขียนในบล็อกนี้เป็นครั้งแรก ก็คือสมการความทุกข์

Suffering = Pain x Resistance

ความทุกข์เท่ากับความเจ็บปวดคูณด้วยการต่อต้าน

หลายคนคงเคยได้ยินคำพูดของ Haruki Murakami ที่เคยบอกไว้ว่า “Pain is inevitable. Suffering is optional”

ความเจ็บปวดเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ความทุกข์เป็นสิ่งที่เราเลือกได้

เมื่อความเจ็บปวดหรือสิ่งไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นทางกายหรือทางใจ ยิ่งเรายิ่งต่อต้านมันเท่าไหร่ เรายิ่งทุกข์มากขึ้นเป็นทวีคูณ

แต่ถ้าเราไม่ต่อต้าน และยอมรับอย่างที่มันเป็น กายอาจจะยังทุกข์อยู่ แต่ความทุกข์ทางใจจะน้อยลงอย่างแน่นอน

Happiness = Reality – Expectations

Suffering = Pain x Resistance

คาดหวังให้น้อย ต่อต้านให้น้อย แล้วเราจะมีความสุขมากขึ้น และมีความทุกข์น้อยลงครับ


ขอบคุณประกายความคิดจากหนังสือ Master of Change: How to Excel When Everything Is Changing – Including You by Brad Stulberg

ชีวิตคือการแก้ปัญหา

อยู่คนเดียวก็มีปัญหา มีคู่ก็มีปัญหา

ตกงานก็มีปัญหา งานหนักก็มีปัญหา

สุขภาพไม่ดีก็มีปัญหา ตื่นมาออกกำลังกายทุกวันก็มีปัญหา

Mark Manson เคยบอกไว้ว่า เราไม่มีทางขจัดปัญหาออกไปจากชีวิต สิ่งที่เราพอทำได้ คือเอาปัญหาเก่าไปแลกปัญหาใหม่ หรือไม่ก็ “อัพเกรด” ปัญหาเหล่านั้น

ความเติบโตหรือความก้าวหน้า จึงไม่ใช่การมุ่งสู่ชีวิตที่ไร้ปัญหา แต่คือการเสาะแสวงปัญหาที่ดีขึ้น ปัญหาที่เราเป็นคนเลือกเอง ปัญหาที่สมน้ำสมเนื้อกับสติปัญญาและช่วงวัยของเรา

ส่วนใครที่รู้สึกว่ายังเวียนวนกับปัญหาเก่าๆ วิธีคิดเหล่านี้อาจจะพอมีประโยชน์

หนึ่ง บางทีเรารู้อยู่แล้วว่าวิธีแก้ที่ถูกต้องคืออะไร เพียงแต่เราไม่กล้าเผชิญผลลัพธ์ที่อาจตามมา สิ่งที่ทำให้ติดหล่มจึงไม่ใช่ความไม่รู้ แต่คือความไม่กล้า

สอง ถ้าปัญหามันไม่ได้สร้างความทุกข์ให้กับชีวิตเกินไปนัก ก็อยู่เฉยๆ บ้างก็ได้ เพราะบางปัญหาก็แก้ไขตัวมันเอง

และสาม ถ้าปัญหานั้นไม่มีทางแก้ได้ แสดงว่ามันไม่ใช่ปัญหา ให้เดินออกมา และเอาแรงและเวลาไปจัดการปัญหาที่เราแก้ได้ดีกว่า

ชีวิตคือการแก้ปัญหา

ขอให้เราได้พบปัญหาที่ดีขึ้นเรื่อยๆ นะครับ