Skin In The Game – คนสร้างสะพานควรใช้ชีวิตอยู่ใต้สะพาน

เมื่อวานนี้เกิดเหตุสะพานข้ามแยกหน้าโลตัสลาดกระบังที่กำลังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง เกิดทรุดตัวและร่วงกระแทกพื้น ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 รายและผู้บาดเจ็บอีกนับสิบราย

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ เมื่อสิงหาคมปีที่แล้วสะพานกลับรถตรงถนนพระราม 2 ก็มีการถล่ม เวลาผมขับรถไปหัวหินก็ยังหวาดเสียวทุกครั้ง

ทำให้ผมนึกถึงคอนเซ็ปต์หนึ่งที่คิดว่ามีความสำคัญและเชื่อมโยงกับเหตุการณ์แบบนี้

คอนเซ็ปต์ที่ว่า คือ Skin in the game หรือการมีส่วนได้ส่วนเสียในเกมที่เราลงเล่น

สมัยกรุงโรมเฟื่องฟู เคยมีกฎบังคับให้วิศวกรที่คุมการสร้างสะพานต้องใช้ชีวิตอยู่ใต้สะพานเป็นระยะเวลาหนึ่ง

และในกาลต่อมา ในประเทศอังกฤษก็มีกฎหมายให้วิศวกรที่สร้างสะพานนั้นต้องพาตัวเองและครอบครัวมาใช้ชีวิตอยู่ใต้สะพานด้วยเช่นกัน

ผมค่อนข้างมั่นใจว่า ถ้าผู้รับเหมาก่อสร้างในเมืองไทยต้องมาอาศัยอยู่ใต้สะพานด้วย โอกาสจะเกิดเหตุการณ์สะพานถล่มแบบที่ลาดกระบังหรือพระราม 2 น่าจะน้อยลงไปเยอะ

แต่แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สมัยกรุงโรม เราคงไปบังคับใครให้ทำแบบนั้นไม่ได้ จึงขอพักเรื่องไว้ตรงนี้ก่อน แล้วชวนคุยเรื่อง Skin in the game ต่ออีกสักนิด

Nassim Nicolas Taleb ผู้โด่งดังจากหนังสืออย่าง The Black Swan และ Antifragile เคยเขียนหนังสืออีกเล่มซึ่งอาจดังไม่เท่า แต่ผมก็ชอบมากเช่นกัน

หนังสือเล่มนี้ ชื่อว่า Skin in the Game: The Hidden Asymmetries in Daily Life

Taleb เชื่อว่าหากเราอยากให้สังคมมีความเท่าเทียมและยุติธรรม เราต้องสร้างกลไกให้บุคลคลหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบต้องแบกรับความเสี่ยงจากการกระทำของเขาด้วย

“For social justice, focus on symmetry and risk sharing. You cannot make profits and transfer the risks to others, as bankers and large corporations do. You cannot get rich without owning your own risk and paying for your own losses. Forcing skin in the game corrects this asymmetry better than thousands of laws and regulations.”

ปี 2007/2008 ตอนเกิดเหตุการณ์วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในอเมริกา มีแบงค์มากมายที่เกือบจะล้ม แต่เพราะว่ามัน too big too fail รัฐบาลจึงตัดสินใจเข้าไปอุ้มหรือที่เรียกกันว่าการ bail out ทำให้ธุรกิจยังไปต่อได้ แต่ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการ bail out ครั้งนั้น ประชาชนผู้เสียภาษีต้องเป็นคนแบกรับ (เพราะรายได้ของรัฐบาลมาจากภาษีประชาชน) กลายเป็นว่าก่อนเกิดวิกฤติแบงค์รวย แต่พอเกิดวิกฤติ แบงค์ล้มบนฟูก และผู้บริหารของบางธนาคารยังได้โบนัสอีกด้วย

Taleb ยกหลายตัวอย่างของการมี skin in the game

เครื่องบิน – สมมติว่ามีเทคโนโลยีที่เอื้อให้กัปตันสามารถคุมเครื่องบินจากที่อื่นได้ เราจะกล้าขึ้นเครื่องบินที่นักบินไม่ได้ขึ้นเครื่องบินไปกับเรามั้ย? ถ้าเลือกได้ ผมจะเลือกนั่งเครื่องบินที่กัปตันขึ้นเครื่องไปกับเรา เพราะกัปตันคนนี้มี skin in the game มากกว่ากัปตันที่ขับเครื่องบินจากพื้นดิน

คนขับรถแย่ๆ – แต่ละวันมีรถวิ่งอยู่บนถนนหลายหมื่นหลายแสนคัน ระยะทางรวมแล้วเป็นล้านกิโลเมตร แม้จะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น แต่ก็ต้องถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมดที่ขับรถ

คำถามคือเพราะอะไร? คำตอบก็คือคนที่ขับรถแย่มากๆ นั้นย่อมจะเจออุบัติเหตุและเสียชีวิตไปแล้วนั่นเอง เพราะการขับรถคือการมี skin in the game รูปแบบหนึ่ง มันจึงบังคับให้เราต้องขับรถอย่างระมัดระวัง ถ้าไม่ระวังเราเองก็อาจจะไม่ได้ขับอีกต่อไป

สงคราม – สมัยก่อน คนที่ชอบการสู้รบและกระหายสงคราม ไม่ว่าจะเป็นเจงกิสข่าน หรือพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ล้วนแต่เป็นคนนำทัพด้วยตนเอง คนเหล่านี้มี skin in the game ชัดเจน

แต่ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ที่คนกระหายสงคราม (warmonger) ไม่ต้องออกไปร่วมรบ จอร์จ บุชสามารถสั่งอเมริกาบุกอิรักได้โดยที่ตัวเองยังอยู่ในกรุงวอชิงตันโดยไม่มีความเสี่ยงทางกายภาพใดๆ หรืออย่างการที่รัสเซียบุกยูเครน ปูตินเองก็ไม่ได้มี skin in the game เท่ากับ โวโลดีมีร์ เซเลนสกี ที่ปักหลักร่วมสู้รบกับประชาชน จะว่าไปแล้วเซเลนสกีนี่ถือเป็นตัวอย่างที่หาได้ยากมากๆ ในสมัยนี้


กลับมาที่เรื่องสะพานข้ามแยกถล่ม

เราคงไม่อาจบังคับให้ผู้รับเหมาและครอบครัวมาอยู่ใต้สะพานได้ แต่สังคมควรจะคิดหากลไกที่ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมี skin in the game มากกว่านี้เพื่อจะได้ป้องกันปัญหา (ส่วนในเชิงลงโทษเมื่อปัญหาเกิดแล้วนั้นมีกฎหมายเอาผิดอยู่แล้ว ส่วนจะเอาผิดได้มากน้อยหรือทันใจแค่ไหนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง)

สมัยก่อนเวลาผมอ่านบทความบนเว็บของ a day ท้ายบทความจะมีลงท้ายว่าบทความนี้เขียนโดยใคร และพิสูจน์อักษรโดยใคร

ผมคิดว่าการระบุชื่อของผู้พิสูจน์อักษรท้ายไว้ตรงท้ายบทความ ทำให้คนที่ทำหน้าที่นี้มี skin in the game ว่าจะต้องตรวจตราบทความอย่างถี่ถ้วนว่าไม่มีการสะกดผิดเลยแม้แต่จุดเดียว ไม่อย่างนั้นเสียเขาจะเสียชื่อ นั่นทำให้บทความของ a day แทบไม่มีจุดผิดเลยในยุคที่ online content เจ้าอื่นๆ เน้นความรวดเร็วจนขาดความระมัดระวัง

ผมเลยคิดว่า หากเราไม่สามารถเอาตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องไปอยู่ใต้สะพานที่กำลังก่อสร้างได้ อย่างน้อยเราเอาชื่อของเขาเหล่านั้น “ไปอยู่ใต้สะพาน” ก่อนได้รึเปล่า

ไม่ว่าจะเป็นชื่อบริษัทผู้รับเหมา ชื่อ-นามสกุลผู้บริหารของบริษัท ชื่อของวิศวกรที่คุมการก่อสร้าง ชื่อเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐที่เซ็นอนุมัติโครงการ ฯลฯ

ไม่ใช่แค่เอาไว้ใต้สะพานอย่างเดียว แต่เอามาแสดงในออนไลน์ด้วย

ผมคิดว่าเรามีเทคโนโลยีและการ crowdsourcing ที่ดีพอที่จะทำสิ่งนี้ให้เกิดขึ้น เอาให้ดูได้เลยว่าตอนนี้มีโครงการก่อสร้างอยู่กี่แห่ง แต่ละแห่งมีรายชื่อผู้รับผิดชอบชัดเจน และยิ่งถ้ามี Facebook page หรือ social account อื่นๆ ของคนเหล่านั้นก็ควรระบุลงไปเพื่อให้มี skin in the game มากขึ้น

ขอจุดประเด็นไว้แต่เพียงเท่านี้ ฝากไปขบคิดและลงมือกันต่อนะครับ