ยุคของการอยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้นานพอ
ผมเป็นเด็กที่โตมาในยุคที่แกรมมี่กับอาร์เอสรุ่งเรือง
เราจะรอคอยศิลปินคนโปรดที่จะออกเทปสองปีครั้ง ใครที่ฮอตหน่อยก็อาจจะได้ออกปีละครั้ง ต้องรอดูมิวสิควีดีโอเพลงเปิดอัลบั้มที่มาพร้อมกับรายการเพลงช่วงดึกดื่นหรือช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์
จากนั้นก็ไปตามเชียร์ต่อกันในรายการวิทยุ รอฟังว่าเพลงที่เราชอบนั้นจะฮิตติดชาร์ตรึเปล่า
พอเก็บตังค์ได้ครบก็ไปแผงเทป ซื้อเทปกลับมาบ้าน แกะพลาสติก เปิดกล่อง ใส่เทปเข้าเครื่องเล่น เปิดเนื้อร้อง นอนฟังเพลงหรือร้องตามกันไป เพลงไหนชอบมากๆ ก็กรอฟังซ้ำบ่อยหน่อย จะเดินทางไปไหนก็จะต้องเอาเทปไปฟังในรถหรือพกซาวด์อะเบาท์ติดตัวไปด้วย
และเนื่องจากค่ายเพลงที่เราฟังสมัยนั้นมีแค่สองค่าย แต่ละค่ายจะกะจังหวะเพื่อให้ศิลปินเบอร์ใหญ่แต่ละคนมีช่วงเวลาเก็บเกี่ยว เราจึง “ได้ใช้เวลา” กับพี่เบิร์ด ธงไชยอย่างน้อย 3-4 เดือนก่อนจะได้ฟังอัลบั้มใหม่ของ เจ เจตริน
เมื่อได้ใช้เวลาด้วยกันนานๆ ก็เลยร้องเพลงเขาได้ไปโดยปริยาย ร้องได้แบบไม่ลืม แม้ว่าเวลาจะผ่านมา 30 ปีแล้วก็ตาม
หันกลับมาดูตอนนี้ ที่ตลาดเพลงมีการกระจายอำนาจและเป็นโลกาภิวัฒน์กว่าเดิม ข้อดีคือเราได้ฟังเพลงที่หลากหลาย แต่สิ่งหนึ่งที่อาจหายไปคือเราไม่ได้อยู่กับศิลปินคนหนึ่งได้ยาวนานเท่าเมื่อก่อน
เพลงที่ฮิตสุดขีดในเมืองไทยจะมีช่วงชีวิตที่สั้นลง อาจจะแค่ 2 เดือนหรือไม่กี่สัปดาห์แล้วก็จะหายไปแบบไร้ร่องรอย
เราได้ฟังเพลงใหม่ๆ กันเยอะมาก แต่ผมไม่แน่ใจว่าเด็กสมัยนี้จะมีเพลงที่ “นิยาม” (define) ชีวิตช่วงใดช่วงหนึ่งเหมือนเด็กสมัยก่อนหรือไม่
ไม่ใช่แค่เรื่องเพลง แต่ซีรี่ส์ก็มีช่วงชีวิตที่สั้นลงเช่นกัน เพราะเราไม่ต้องรอดูสัปดาห์ละตอนสองตอน แต่สามารถดูรวดเดียว 12 ตอนจบภายใน 2-3 คืนได้เลย
อารมณ์เหมือนการไปเที่ยวกับทัวร์ที่หวังจะเก็บที่เที่ยวดังๆ ให้ครบ ลงจากรถแล้วรีบถ่ายรูป ก่อนจะต้องขึ้นรถไปที่อื่นต่อ ไม่ได้มีเวลาเพียงพอที่จะซึมซับและเข้าไปรู้จักกับสถานที่นั้นจริงๆ
เมื่อเราเสพสิ่งต่างๆ อย่างรวดเร็ว ก็น่าสนใจว่ามันจะมีผลต่อความทรงจำอย่างไร
อีก 30 ปีเราจะยังร้องเพลง “เฮอร์ไมโอน้อง” หรือ “เลือดกรุ๊ปบี” ได้รึเปล่า หรือเราจะยังหวนระลึกถึงซีรี่ส์ดังๆ ที่เราเคยดูในเน็ตฟลิกซ์ด้วยความคิดถึงหรือไม่
นี่ยังไม่นับเรื่อง Generative AI ที่จะทำให้เกิด content ใหม่ๆ มากขึ้นอีกไม่รู้กี่เท่า
อาจจะใกล้หมดยุคที่เราจะอยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้นานพอแล้วก็ได้
