เหตุผลที่ Facebook ไม่ถอดป้ายบริษัทเก่าออก

หากใคร (โชคดี) ได้ไปเยี่ยมชมสำนักงานใหญ่ของ Facebook ที่ Menlo Park, California ก็จะเห็นป้ายเฟซบุ๊คที่มีเครื่องหมาย “ไลค์” ที่เราคุ้นตา พร้อมชื่อบริษัท facebook และที่อยู่แสนเท่อย่าง – 1 Hacker Way

แต่ถ้าใครช่างสังเกตหรือรับรู้ถึงตำนานแล้วเดินอ้อมไปดูหลังป้าย ก็จะเห็นโลโก้ของ Sun Microsystems ที่ทรุดโทรมตั้งอยู่

คนรุ่นใหม่หรือคนที่ไม่ได้อยู่ในสายเทคโนโลยีอาจจะไม่คุ้นชื่อของ Sun Microsystems นัก

แต่ถ้าใครเคยได้ยินภาษาโปรแกรมมิ่งที่เรียกว่า Java ก็ขอให้รู้ว่ามันมีต้นกำเนิดจาก Sun นี่แหละครับ

Sun Microsystems เคยเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ด้าน technology สมัยที่ผมทำงานเป็น engineer ที่ Thomson Reuters ห้อง data center จะเต็มไปด้วยเครื่องเซิร์ฟเวอร์ Solaris SPARC ของ Sun นับร้อยเครื่อง แต่ละเครื่องมีราคาหลายแสนถึงหลักล้าน และคู่แข่งด้านเซิร์ฟเวอร์ของ Sun ในสมัยนั้นก็คือ IBM ที่ชกกันอย่างสูสี

แต่ด้วยความเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างในธุรกิจนี้ ทั้งเครื่อง PC ที่มี performance ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ราคาถูกกว่า Sun เป็นสิบเป็นร้อยเท่า เรื่องการมาถึงของ open source software ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ของ Sun ส่วนใหญ่นั้นเป็นระบบปิด รวมถึงเรื่องระบบ cloud ที่ทำให้บริษัทไม่จำเป็นต้องมี data center ของตัวเองอีกต่อไป ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ Sun ที่เคยเป็นยักษ์ใหญ่ค่อยๆ กลายเป็นยักษ์เล็ก

ถ้าคุณซื้อหุ้น Sun ด้วยเงิน 1 ล้านบาทในปี 2000 ภายในเวลา 8 ปี หุ้นของคุณจะมีมูลค่าเหลือเพียง 13,000 บาท

สุดท้าย Sun ก็ถูก Oracle ซื้อไปในปี 2009 ก่อนที่ Oracle จะตัดสินใจหยุดการพัฒนาระบบของ Sun ในปี 2017 ทิ้งไว้เพียงแค่ตำนานและความทรงจำ

ออฟฟิศที่ Menlo Park แห่งนี้เคยเป็นของ Sun Microsystems มาก่อน และ Facebook ก็ย้ายเข้ามาใช้ออฟฟิศแห่งนี้ในปี 2015

นอกจากป้ายบริษัทด้านหน้าแล้ว ห้องประชุมทั้งหมดภายในตัวอาคารที่มีประตูแก้วเรียงรายเป็นทิวแถวก็ล้วนแล้วแต่มีโลโก้ของ Sun Microsystems สลักอยู่บนประตู

แน่นอนว่าบริษัทระดับเฟซบุ๊คมีเงินเปลี่ยนประตูแก้วได้สบายๆ แต่มาร์ค ซักเคอร์เบิร์กก็เลือกที่จะไม่ทำอย่างนั้น

เพราะเขาอยากทิ้งสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์ไว้ให้พนักงานได้เห็นและสะท้อนใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ว่าหากไม่ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย ต่อให้องค์กรจะยิ่งใหญ่เพียงใดก็อาจถึงจุดจบได้ภายในเวลาไม่นานครับ


ขอบคุณภาพจาก Marc Seitz: Hacker Culture Enterprise: The Hacker Way — Facebook และ Reddit: Back of the famous 1 Hacker Way Facebook sign

References:

Nine Lies About Work by Marcus Buckingham & Ashley Goodall

Geekwire: Zuckerberg’s not-so-subtle message to Facebook employees: Don’t end up like Sun Microsystems

Quora: What happened to Sun Microsystems? Why do you not hear about it anymore?

1Stock1: Sun Microsystems, Inc. (JAVA) Yearly Returns

กัดฟัน 10 นาที

งานชิ้นใหญ่ที่ยากและลำบาก เรามักจะหลีกเลี่ยงและหันไปทำงานอื่นแทนเพื่อลดความรู้สึกผิด

แต่นกกระจอกเทศที่เอาหัวมุดดินไม่อาจหนีพ้นจากสิงโตไปได้

ดังนั้น ถ้าเจองานที่ไม่อยากทำ แต่รู้ว่ายังไงก็ต้องทำ ให้สัญญากับตัวเองว่าเราจะเริ่มทำวันนี้ ณ เวลานี้ และบอกกับตัวเองว่าจะทำแค่ 10 นาทีเท่านั้น ถ้าครบสิบนาทีแล้วมันทรมานนัก เราก็จะไม่ทำต่อ

แต่สิ่งที่เรามักจะเจอ ก็คือเมื่อผ่านสิบนาทีแรกไปแล้ว เราจะไปต่อได้เองเหมือนรถที่เครื่องติดแล้ว

ลองดูงานใน To Do List ว่างานชิ้นไหนที่เราผัดผ่อนมานานแล้ว

หยิบมันขึ้นมา แล้วบอกตัวเองว่า จะกัดฟันทำแค่ 10 นาทีครับ

อยากได้อะไร ก็จงให้สิ่งนั้น

อยากได้โอกาส ก็จงให้โอกาส

อยากได้ความสุข ก็จงให้ความสุข

อยากได้ความรู้ ก็จงให้ความรู้

อยากได้ความรัก ก็จงให้ความรัก

อยากได้อิสรภาพ ก็จงให้อิสรภาพ

“There is a wonderful, almost mystical, law of nature that says three of the things we want most — happiness, freedom, and peace of mind — are always attained when we give them to others. Give it away to get it back.”
-Basketball coach John Wooden, winner of 10 championships

เรากับเขานั้นเชื่อมโยงกัน มนุษย์ต้องพึ่งพากันมาแต่ไหนแต่ไร เราไม่อาจทำให้ตัวเองดีขึ้นได้ด้วยการทำให้คนอื่นแย่ลง และเมื่อเราทำให้คนอื่นดีขึ้น เราก็จะดีขึ้นอย่างช่วยไม่ได้เช่นกัน

อยากได้อะไร ก็จงให้สิ่งนั้น

แล้วมันจะกลับมาหาเราในที่สุดครับ

ข้างในสว่างข้างนอกจะงดงาม

เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นผ่านตัวกรองที่เรียกว่า “ตัวเรา” ทั้งนั้น

ถ้าแว่นตาขุ่นมัว มองอะไรก็ไม่ชัด

ถ้าแว่นตาใสแจ๋ว มองอะไรก็แจ่มแจ้ง

โลกมันก็เป็นของมันอย่างนี้ มีทั้งสุขและทุกข์มาแต่ไหนแต่ไร

มองให้ร้ายมันก็ร้าย มองให้ดีมันก็ดี

มองตามความเป็นจริง ก็ไม่มีอะไรร้าย ไม่มีอะไรดี

มีแต่สถานการณ์ที่เราต้องรับมือให้สมฐานะมนุษย์ที่มีสติปัญญาครับ

โชคดี 4 ประเภท

1. โชคดีเพราะฟลุค อารมณ์เหมือนคนถูกหวย เป็นโชคดีที่นานๆ เกิดสักครั้งและควบคุมไม่ได้


2. โชคดีเพราะความขยัน เมื่อได้ลองทำอะไรหลายอย่าง ค้นหาไม่มีหยุด มันก็เป็นการเพิ่มความน่าจะเป็นให้ตัวเองได้ค้นพบความโชคดี


3. โชคดีเพราะตาแหลมคม ทำให้มองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองไม่เห็น เข้าสู่เกมก่อนที่คนอื่นจะไหวตัว เดินออกจากเกมก่อนที่ตลาดจะลง


4. โชคดีที่เพราะเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้ตัวเราดึงดูดความโชคดี ถ้าให้ยกตัวอย่างที่เห็นภาพชัดหน่อย สมมติว่าเราเก่งที่สุดในโลกเรื่องการดำน้ำลึก แล้วบังเอิญมีใครสักคนไปเจอเรือมหาสมบัติที่จมอยู่ใต้ท้องทะเล เขาก็จะมาติดต่อเราให้ไปช่วยและจ่ายค่าตอบแทนให้เราอย่างงาม สังเกตว่าโชคดีของคนคนนั้นกลายมาเป็นโชคดีของเราไปด้วย เป็นความโชคดีที่ไม่ได้มาแบบฟลุคๆ


โชคดีในแบบที่สี่นั้นไม่ค่อยมีคนพูดถึง เพราะทำได้ยาก แต่สร้างคุณค่าได้อย่างยาวนาน


เราจึงควรหาให้เจอว่าจะสร้างจุดเด่นขึ้นมาอย่างไรเพื่อจะได้เป็น “ตัวนำโชค” ให้ตัวเองครับ


—–


ขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือ The Almanack of Naval Ravikant