
คนไทยขี้เกรงใจ ไม่กล้าพูดตรงๆ เพราะกลัวทำร้ายคนอื่นหรือกลัวตัวเองจะดูไม่ดี
เวลาใครมาขอให้เราช่วยหรือทำอะไร เราจึงมักจะตอบรับเอาไว้ก่อน
ซึ่งการตอบรับทั้งๆ ที่ไม่เต็มใจนี้มักจะนำไปสู่ผลลัพธ์ได้สองแบบ
หนึ่งคือรับปากแต่ไม่ทำ แล้วก็ผิดคำพูดไปเรื่อยๆ จนอีกฝ่ายอิดหนาระอาใจ
สองคือรับปากแล้วทำ แต่ทำด้วยความอึดอัดและขุ่นข้องหมองใจ
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นหนึ่งหรือสองก็ไม่ค่อยดีทั้งคู่
อะไรที่เราไม่เต็มใจทำหรือไม่อยากทำ สู้เราบอกออกไปตั้งแต่ต้นดีกว่าว่าไม่สะดวกเขาจะได้ไปหาคนอื่นที่เต็มใจมากกว่า
แต่การปฏิเสธคนมันยากจริงๆ ยิ่งถ้าเราเป็นคนที่ไม่กล้าปฏิเสธใครมาทั้งชีวิตด้วยแล้วยิ่งยากเข้าไปใหญ่
ความคิดหนึ่งที่อาจจะพอช่วยได้บ้างคืออันนี้ครับ:
เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเซย์เยสกับสิ่งหนึ่ง เราก็กำลังเซย์โนกับอีกสิ่งหนึ่งเสมอ
ถ้าเราเซย์เยสกับการให้เพื่อนคนนี้ยืมเงิน เราก็กำลังเซย์โนกับการเอาเงินส่วนนี้ไปทำอย่างอื่นให้มันงอกเงย
ถ้าเราเซย์เยสกับงานที่เจ้านายมาขอให้ทำกะทันหันจนต้องกลับดึก เราก็กำลังเซย์โนกับโอกาสที่จะได้อ่านนิทานให้ลูกฟังก่อนนอน
ถ้าเราเซย์เยสกับการไปร่วมงานเลี้ยงที่เราไม่ได้อยากไป เราก็กำลังเซย์โนกับการพักผ่อนชิลล์ๆ ในแบบที่ชอบกับคนที่ใช่
ตอนที่เราเซย์เยสด้วยความรู้สึกว่ามันง่ายกว่าการปฏิเสธ และเพราะเรามักหลงลืมต้นทุนที่เรียกว่า opportunity cost ตรงนี้ไป
เมื่อไหร่ก็ตามที่เราระลึกได้ว่า การเซย์เยสมันจะทำให้เราสูญเสียอะไรไปบ้าง เราก็น่าจะกล้าเซย์โนมากขึ้นครับ