
เราทุกคนล้วนมีความฝัน
บางคนฝันอยากมีซิกแพ็ค
บางคนฝันจะได้เป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียง
บางคนฝันอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ startup
คำแนะนำที่เรามักได้ยินจาก life coach คือคุณต้องเขียนภาพความฝันนั้นให้ชัดเจน แปะลงข้างฝา แล้วบอกกับตัวเองทุกวัน (affirmations) ว่าฉันได้มันมาแล้ว
ซึ่งบางทีก็เวิร์ค แต่หลายครั้งก็ไม่
เพราะการฝันหวานไม่ใช่เรื่องยาก
จุดที่หลายคนสะดุดหรือยอมแพ้ไปก่อน คือ “ฝันร้าย” ที่ต้องผ่านก่อนที่ฝันหวานจะเป็นจริงต่างหาก
ฝันร้ายของคนอยากมีซิกแพ็คคือการต้องตื่นแต่เช้าตรู่ ใช้ชีวิตอยู่ในฟิตเนสวันละสอง-สามชั่วโมง กินอาหารซ้ำซากที่ไม่มีความอร่อย ร่างกายที่เจ็บปวดทุกครั้งหลังออกกำลังกายเสร็จ
ฝันร้ายที่นักดนตรีต้องเจอก็เช่นการทะเลาะกับเพื่อนร่วมวง การซ้อมท่อนโซโล่ท่อนเดิมๆ นับร้อยๆ ครั้ง การวิ่งไปออดิชั่นตามร้านต่างๆ การเล่นดนตรีในร้านอาหารที่แสนจะผิดที่ผิดทางแถมไม่มีใครสนใจฟังเรา การแบกกีตาร์และอุปกรณ์หนักๆ ตระเวนตามร้านอยู่ทุกคืน การทำเดโมส่งไปแล้วไม่มีใครเรียก
ฝันร้ายที่คนทำ startup ต้องประสบ คือการพูดถึงโปรดักท์แล้วไม่มีใครเก็ท ทำโปรดักท์ออกมาแล้วมี bugs เยอะแยะจนน่าอาย รายได้ที่ไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องพนักงาน ความเครียดจากความไม่แน่นอนว่าธุรกิจเราจะรุ่งหรือจะร่วง
ผมเองเคยอยากเป็นนั่นเป็นนี่เต็มไปหมด เคยอยากเป็นนักลงทุน Value Investor (VI) แต่ก็ไม่อยากมานั่งอ่านงบประมาณบริษัท อยากทำแอปมือถือแต่พอลองนั่งทำจริงๆ แล้วรู้สึกว่ามันยุ่งยากและไม่สนุก
จะมีแปลกอยู่หน่อยก็เรื่องการเขียนบล็อกนี่แหละ เพราะตอนที่เริ่มต้น ภาพของการเป็นบล็อกเกอร์ก็ไม่ได้ชัดหรือไม่ได้ตื่นเต้นเท่ากับนักลงทุน VI หรือนักพัฒนาแอปด้วยซ้ำ
แต่ในขณะที่ผมไม่ชอบ “ฝันร้าย” ของการเป็น VI หรือเป็นนักพัฒนาแอป แต่ผมกลับทนได้กับฝันร้ายของการเป็นบล็อกเกอร์
ทั้งการต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาเขียนบล็อก (ขณะนี้เป็นเวลา 5.14) การหงุดหงิดกับตัวเองเวลาที่คิดเรื่องไม่ออก การต้องอ่านบทความเป็นสิบๆ เรื่องกว่าจะเจอเรื่องที่นำมาเขียนบล็อกได้ หรือการนั่งหน้าคอมเป็นเวลา 5-6 ชั่วโมงกว่าจะปั้นบทความดีๆ ซักตอน
แต่ผมก็ยังทนเขียนบล็อกมาได้ถึงทุกวันนี้
ดังนั้น คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ “Passion ของคุณคืออะไร” หรือ “คุณต้องการอะไรในชีวิต”
คำถามสำคัญคือ “คุณพร้อมที่จะทนทุกข์กับเรื่องอะไร” มากกว่า
เพราะถ้าคุณไม่พร้อมจะทนทุกข์ไปกับมัน ก็แสดงว่าคุณไม่ได้ต้องการมันจริงๆ
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดเลยซักนิด
เพราะเมื่อเข้าใจตัวเองว่าเราไม่ได้ต้องการมันซักเท่าไหร่ เราก็จะได้เลิกฝันหวานกับเรื่องนี้ แล้วไปเริ่มต้นกับฝันอื่นที่เราพร้อมจะร่วมทุกข์-ร่วมสุขไปกับมันครับ
—–
ขอบคุณประกายความคิดจาก Mark Manson: The Most Important Question of Your Life