
[ถาม]: โทษนะคะ ตอนนั้นจิตวิญญาณความเป็นครูหายไปไหมคะ ?”
[ตอบ]: ไม่ถึงขนาดนั้น แต่มาสะดุดใจตอนปี พ.ศ. 2531 ตอนนั้น อ.อารี สัณหฉวี อาจารย์ใหญ่ ร.ร.สาธิต เชิญ Professor Hotchkis, G.D. จากมหาวิทยาลัย Macquarie ประเทศออสเตรเลีย มาเลกเซอร์เรื่องการสอนแบบ mastery learning ให้พวกครูสาธิตตอนนั้นผมอยากสอนคณิตศาสตร์สำหรับเด็กอัจฉริยะ อ.อารีรู้เรื่องนี้เลยชวนผมมานั่งฟัง แต่ผมหยิ่ง ฝรั่งจะมาสอนอะไร วิธีสอนของเขาจะมาสู้อะไรเรา
ที่ไหนได้ สิ่งที่เขาสอนทำให้เราเห็นว่า ไอ้ที่เราสอนกวดวิชา สรุปให้เด็กจำเพื่อนำไปสอบ เราควรจะสอนไหม หรือควรจะสอนความรู้ที่ติดตัวเด็กไป
สอนกวดวิชาเหมือนใส่ชุดลิเก เป็นเทพ เป็นเจ้า แต่พอเล่นเสร็จ เราถอดชุดออกใช่ไหม ถอดออกมันก็ไม่ใช่เทพแล้ว เนี่ยเราสอนเด็กเหมือนเล่นลิเก คนนี้เก่ง รำสวย ชฎาสวย แต่มันใช้กับชีวิตจริงตรงไหน
ความรู้ที่เราสอนพอสอบเสร็จทิ้งหมดนะ ผมเรียกคณิตศาสตร์ลิเก วิทยาศาสตร์ลิเก
พอแสดงเสร็จ คนดูกลับ จบ วันรุ่งขึ้นเก็บเงินคนดูเข้ามาดูใหม่ถ้าคุณเป็นพระเอกในลิเกคุณต้องเป็นพระเอกในชีวิตจริงได้ด้วยสิ แต่ชีวิตจริงไม่ได้เอาลิเกมาใช้เลย
…
เราลืมเรื่อง “ความทั่วถึง”
ไอ้ที่เราสอนเด็กติดแพทย์ ติดวิศวะ เราคิดว่าเราเก่ง โถ..จะไม่ติดได้ยังไง เราสอนตั้งปีกว่า แต่เด็กที่เราทิ้งไปคือเด็กที่มาเรียนกับเราแล้วไม่รู้เรื่อง
เรียนกับ อ.พูลศักดิ์ยังไม่รู้เรื่องก็ทิ้งวิชาคณิตศาสตร์ไปเลย แต่จริงๆ คณิตศาสตร์ที่ต้องใช้กับชีวิตประจำวัน มันควรจะแปะติดตัวเราไป ไม่ใช่คณิตศาสตร์ลิเก
แล้วพอเจอ professor เรารู้เลยว่า ที่ผ่านมาเวลาเราสอนเราพูดวิธีเดียว เราคิดว่าพูดแค่นี้นักเรียนต้องรู้ พอนักเรียนไม่รู้เราบอกว่า “คนนี้ต้องมีอะไรผิดปกติ” แต่จริง ๆ แล้ว “เราเองผิดปกติ”
เหมือนคนเป็นหมอ คนไข้มารักษาไม่หาย เราโทษคนไข้ไหม ไม่ เพราะจริงๆ เราผิด
เรามีหน้าที่มองนักเรียนแต่ละคนในจุดเล็กๆ
คนเก่งทำได้ ใช้เวลาสั้นแล้วมาดูแลเพื่อน คนอ่อนใช้เวลาเรียนมากหน่อย
เพราะฉะนั้นเวลาทำแบบฝึกหัด สมมติโจทย์มี 30 ข้อ คนเก่งให้ทำไปเลย 30 ข้อ คนอ่อนทำได้ 5 ข้อ พอแล้ว นักเรียนทุกคนรู้เท่าเทียมกัน เขาเรียก “เต็มที่” และ “ทั่วถึง” ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ไม่มีในระบบการศึกษาไทย
– อาจารย์พูลศักดิ์ เทศนิยม
อดีตติวเตอร์กวดวิชาที่ได้ค่าสอนวันเดียว 20 ล้าน
นิตยสารคู่สร้างคู่สม ฉบับเดือนมกราคม 2554
นำมาถ่ายทอดออนไลน์โดย ไชยยศปั้น OKNation Blog
—–
ผมเองเคยเรียนโรงเรียนกวดวิชาอยู่ครั้งหนึ่งตอนเตรียมตัวสอบเข้ามัธยม 1 ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ
ช่วงนั้นเตรียมพัฒน์ฮอตมาก เพราะปีนั้นเด็กที่จบม.6 จากที่นี่เอนทรานซ์ติดเยอะเป็นอันดับสองของประเทศ เป็นรองแค่โรงเรียนเตรียมใหญ่ฯ จนส่งผลให้รุ่นผมมีนักเรียนถึง 1000 กว่าคนและห้องเรียน 20 ห้อง
พอจบม.3 เทอมแรก ก็ไปเรียนนิวซีแลนด์ จึงไม่เคยมีโอกาสได้กวดวิชาอีกเลย
มานั่งนึกดู ผมอยู่ที่นิวซีแลนด์สามปี ไม่เคยเห็นใครกวดวิชาเลย
—–
คำพูดของอาจารย์พูลศักดิ์ที่ว่าสอนกวดวิชาเหมือนสอนเล่นลิเกนี่ฟังแล้วจี๊ดหัวใจ
และถ้าผมเป็นอาจารย์กวดวิชาเองก็คงจี๊ดกว่านี้อีกหลายเท่า
ซึ่งจะว่าไปแล้วผมก็ไม่คิดว่าเราควรโทษอาจารย์กวดวิชานะครับ เพราะเขาก็แค่เติมเต็มความต้องการของตลาดเท่านั้นเอง
ยิ่งอาจารย์กวดวิชามีรายได้มากเท่าไหร่ ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงสภาพการศึกษาในบ้านเรามากเท่านั้น
การศึกษาก็เหมือนการเล่นเกม กติกาก็ง่ายๆ คือมาเรียนให้ครบชั่วโมงและสอบให้ผ่านคุณก็จะได้ไปต่อ พอคุณผ่านด่านครบ 16 ด่าน (ประถม มัธยม อุดมศึกษา) คุณก็จะได้ใบที่เรียกว่าปริญญาตรีเพื่อไปเริ่มเกมใหม่ที่เรียกว่าชีวิตการทำงาน
ประเด็นก็คือชีวิตการทำงานเรากำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วมาก วิธีการทำงานของเราในวันนี้แตกต่างจากเมื่อ 20 ปีก่อนอย่างสิ้นเชิง แต่หลักสูตรการศึกษา(บางส่วน)ของเราอาจจะเก่ากว่า 20 ปีด้วยซ้ำ
ผมคงไม่คิดจะเรียกร้องให้ปฏิรูปการศึกษา เพราะเชื่อว่ามีคนตั้งใจจะทำอยู่แล้ว เพียงแต่มันยากมากและคงต้องใช้เวลาอีกซักพัก
และโลกแห่งการศึกษาก็คงยากที่จะตามโลกแห่งความจริงได้ทัน แค่ลองจินตนาการว่าโลกของเราจะเป็นอย่างไรตอนที่ลูกสาวผมจบปริญญาตรีในอีก 20 ปีข้างหน้า หัวผมก็เต็มไปด้วยความว่างเปล่า
ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ถ้าเกมการศึกษายังบังคับให้ลูกเราเป็นนางเอกลิเกอยู่ ก็คงต้องว่าไปตามนั้น
แต่ในฐานะพ่อคนหนึ่ง คงต้องไม่ลืมสอนลูกให้เป็นนางเอกในชีวิตให้ได้ด้วยเช่นกันครับ
——
ขอบคุณข้อมูลจากนิตยสารคู่สร้างคู่สม ฉบับเดือนมกราคม 2554 (ถ่ายทอดออนไลน์โดย ไชยยศปั้น OKNation Blog )