ขอโทษตัวเอง

20170520_saysorry

[ถาม]: คุณอยู่ในวงการบันเทิงมาตั้งแต่อำยุเพียง 13 ปี จนถึงตอนนี้ก็อายุ 27 ปีแล้ว มีความเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตที่น่าพูดถึงบ้าง

[ตอบ]: ปูคิดว่าตัวเองเดินทางมาไกลมากเลยนะ และไม่มีปีไหนที่เหนื่อยน้อยลงกว่าปีก่อนหน้าเลย ตั้งแต่เด็กๆ ที่เราทำงานมาโดยตลอด เหมือนขาดชีวิตวัยเด็กไปโดยไม่ได้เที่ยวเล่นเหมือนกับเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน สำหรับคนที่ไม่ค่อยรู้จักปู ไม่ได้ติดตามข่าวคราวในชีวิตของปูมาตลอด อาจจะตกใจนิดหน่อยคิดว่าปูเปลี่ยนแปลงไป เติบโตขึ้นแบบปุบปับ แต่จริงๆ แล้วปูรู้สึกเป็นผู้ใหญ่แบบนี้มานานแล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมามักจะมีแต่คนมาสัมภาษณ์เรื่องส่วนตัวหรือความรัก (หัวเราะ) แต่ไม่ค่อยมีคนมาสัมภาษณ์เรื่องราวจริงจัง ว่าปูมีความคิดยังไง หรือมีตัวตนจริงๆ เป็นอย่างไร สมัยแรกๆ ที่เข้าวงการมา ปูก็มักจะมีความรู้สึกต่อต้านและก็มีข่าวออกไปให้ได้ยินกันบ่อยๆ ว่าปูดื้อ แต่สิ่งที่คนไม่รู้เกี่ยวกับปูเลย ก็คือปูมีความเศร้าอยู่ในใจลึกๆ เพราะต้องแบกความรับผิดชอบสูงมากตั้งแต่เด็ก และปูรู้สึกว่าโลกนี้มันไม่ได้ง่ายเลยนะ ชีวิตการเป็นดาราก็ไม่ได้ง่ายเหมือนที่ทุกคนมองว่ามันง่ายด้วย ช่วงที่ไปเรียนต่อเป็นช่วงที่มีข่าวไม่ดีค่อนข้างเยอะซึ่งปูก็เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งอยากจะต่อต้านสังคม ต่อต้านสายตาคนอื่นๆ ที่มองมา ปูคิดว่าไหนๆ คนก็ชอบวิจารณ์เราอยู่แล้วงั้นเราก็เอาให้เต็มที่เลย วันนี้พอมองกลับไป คนที่ปูควรจะขอโทษมากที่สุดคือตัวเองและครอบครัว มาถึงตอนนี้ปูนึกขอบคุณคุณพ่อคุณแม่มากๆ เลยนะ เพราะปูคงจะไม่ได้เป็นคนอย่างที่เป็นในตอนนี้ ถ้าไม่ได้รับโอกาสให้ทำงานในวงการตั้งแต่อายุ 13 ปีไม่อย่างนั้นเราคงไม่ได้มีความเข้าใจชีวิต ไม่ได้เข้าใจโลก หรือไม่ได้คิดจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ถ้าปูไม่ได้รู้สึกเศร้ามาตั้งแต่เด็กเหมือนที่ท่าน ว. วชิรเมธีเคยพูดว่า ความทุกข์คือสิ่งมหัศจรรย์ คนเราถ้าไม่เคยทุกข์ก็ไม่มีทางเรียนรู้ได้ ความทุกข์ไม่เกิดปัญญาก็ไม่เกิด ปูก็เลยคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมากที่ได้ผ่านจุดนั้นมาด้วยตัวเอง ปูคิดว่าความสุขที่แท้จริงคือการมอบความสุขมอบทางออก มอบชีวิตที่ดีขึ้นให้กับคนอื่น ซึ่งก็เพราะอย่างนี้ปูถึงได้บอกว่าคนไม่ค่อยรู้จักปู ปูเป็นคนที่มีความดาร์กในตัวเองอยู่สูงมาก

– ไปรยา ลุนด์เบิร์ก

a day BULLETIN Issue 468 20 February 2017 
เรื่อง: วรัญญู อินทรกำแหง, กมลวรรณ ส่งสมบูรณ์
ภาพ: ภำสกร ธวัชธำตรี
สไตลิสต์ : Hotcake
เสื้อผ้า: The Only Son


ผมเคยเขียนถึงคุณปู ไปรยามาครั้งหนึ่งแล้ว หลังจากที่ได้ฟังเธอพูดในงาน TEDx และทำให้ผมเข้าใจว่า ภาพที่ผมเคยรับรู้มาเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ห่างไกลจากตัวตนของเธอไม่น้อย

บทสัมภาษณ์ของเธอใน a day BULLETIN เมื่อต้นปีนี้เธอก็น่าสนใจไม่แพ้กัน หลังจากที่เธอเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นทูตสันถวไมตรีสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR)

นี่คือข้อมูลบางส่วนของปัญหาผู้ลี้ภัยที่หลายคนอาจไม่เคยรู้

“หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า ในปัจจุบันนี้มีผู้ลี้ภัยทั้งหมด ทั่วโลกจำนวนมากถึง 65.3 ล้านคน และในจำนวนทั้งหมดนั้นมี มากถึงร้อยละ 51 ที่เป็นเด็กๆ และในจำนวนเด็กผู้ลี้ภัยนั้น 50% หรือมากกว่า 30 ล้านคนไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะต้องลี้ภัยไป เรื่อยๆ ย้ายถิ่นฐานไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า และยิ่งมาถึงสถานการณ์ล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว ตัวเลขเพิ่มขึ้นเร็วมาก จนกลายเป็นว่าโลกเรามีคนที่ต้องลี้ภัยเพิ่มมากถึง 40,000 คนต่อวันเลยทีเดียว ผู้ลี้ภัยเป็นเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน แต่มีกลุ่มคนเหล่านี้อยู่จริงๆ บนโลกใบนี้ คนที่สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างจากสงคราม สิ่งเดียวที่เขาต้องการ อาจจะเพียงแค่ขอความปลอดภัยเท่านั้นเอง สำหรับปู นี่เป็นปัญหาที่เราหันหลังให้ไม่ได้นะ เพราะถ้าเราหันหลังให้เขา ชีวิตเขาจะเป็นอย่างไรก็ยังนึกไม่ออกเลย อย่างบางคนก็จะบอกว่านั่นไม่ใช่ ปัญหาของประเทศเรา ไม่ไปยุ่งดีกว่า แต่เชื่อไหมว่าปัญหาจะเดินทางมาถึงเราได้ และสักวันถ้ามันเกิดขึ้นกับเราบ้าง เราจะไม่มองอย่างนี้เลย เราเองก็จะต้องขอร้องให้คนมาช่วยเหลือด้วยเหมือนกัน”

และคุณปูก็ตั้งคำถามปรัชญาว่า คนเราจะมีชื่อเสียงไปเพื่ออะไร จะรวยไปเพื่ออะไร จะมีอำนาจไปเพื่ออะไร

“ปูยอมรับนะว่าพอทำงานอาชีพนักแสดง เป็นดารามีชื่อเสียงเราอยากได้อะไรก็ได้ จะดื่มน้ำยี่ห้ออะไรก็มีคนวิ่งไปหามาให้อยากจะได้ อยากจะมีอะไร คนก็วิ่งเข้ามาเสนอให้ทุกวัน แต่ในท้ายที่สุดแล้ว คนเราจะมีชื่อเสียงไปเพื่ออะไร เพื่อเป็นที่หนึ่งเหรอ เพื่อเป็นที่รักของทุกคนเหรอ เพื่อเป็นคนสวยเลือกได้อะไรแบบนั้นเหรอ? …พระเจ้าไม่ได้ให้โอกาสดีๆ กับเรามาเพียงเพื่อเราคนเดียว พระเจ้าให้โอกาสเหล่านี้แก่เรา เพื่อที่เราจะได้ทำอะไรดีๆ หรือส่งต่อสิ่งดีๆ ให้กับคนอื่นด้วย”

จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าผมเคยเห็นข่าวว่าคุณปูได้ไปทำงานกับเอเจนซี่เมืองนอก อ่านบทสัมภาษณ์นี้จึงได้รู้หนึ่งในเหตุผลของเธอที่เชื่อมโยงกับคำถามด้านบน

“ถามว่าทำไมปูจึงไปแคสต์งานกับเอเจนซีที่นิวยอร์ก ทำไมถึงอยากจะไปทำงานเมืองนอก สาเหตุหนึ่งที่ปูอยากจะประสบความสำเร็จในระดับสากล เพราะอย่างที่บอก ปัญหานี้เป็นปัญหาที่คนทั้งโลกต้องช่วยเหลือกัน และปูไม่รู้ว่าถ้าเราไม่มีชื่อเสียง ไม่มีคนรู้จักเราจะช่วยเหลือเขาได้อย่างไร คือปูหมายถึงช่วยเหลือในแบบที่เราจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง ซึ่งถ้าเราจะทำอย่างนั้นได้สิ่งหนึ่งที่ช่วยได้ก็คือชื่อเสียง”

และอีกหนึ่งประโยคที่ผมรู้สึกว่าเป็นมุมที่น่าสนใจมากจนต้องนำมาใส่ไว้ในภาพประกอบของบทความนี้

“ช่วงที่ไปเรียนต่อเป็นช่วงที่มีข่าวไม่ดีค่อนข้างเยอะ ซึ่งปูก็เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งอยากจะต่อต้านสังคม ต่อต้านสายตาคนอื่นๆ ที่มองมา ปูคิดว่าไหนๆ คนก็ชอบวิจารณ์เราอยู่แล้วงั้นเราก็เอาให้เต็มที่เลย วันนี้พอมองกลับไป คนที่ปูควรจะขอโทษมากที่สุดคือตัวเองและครอบครัว”

ที่ผมรู้สึกว่าน่าสนใจ เพราะที่ผ่านมา เวลาเราเห็นใครที่เคยผิดพลาดในอดีต เขามักจะเอ่ยปากขอโทษคนรอบตัวไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เจ้านาย หรือเพื่อน

แต่ผมไม่เคยได้ยินใครบอกว่าอยากจะขอโทษตัวเอง

ทั้งๆ ที่ถ้ามาลองคิดดู ตัวเองควรจะเป็นคนที่ถูกขอโทษคนแรกด้วยซ้ำไป เพราะคนที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำที่ไม่ฉลาดของเรามากที่สุดก็คือตัวเราเองนั่นแหละ

เมื่อเราขอโทษตัวเองแล้ว เราก็พร้อมที่จะให้อภัยและปลดล็อคตัวเองจากอดีต เพื่อที่จะทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

เพื่อที่วันหนึ่งในอนาคต เราจะได้มองกลับมาและนึกขอบคุณตัวเองในวันนี้ครับ


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก a day BULLETIN Issue 468 20 February 2017 

อ่านบทความใหม่ทุกวันที่เพจ Anontawong’s Musings: facebook.com/anontawongblog

อ่านบทความทั้งหมด anontawong.com/archives

ดาวน์โหลดหนังสือ “เกิดใหม่” anontawong.com/subscribe/

นิทานศิษย์เกเร

20170519_badboy

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

ยังมีศิษย์เซนผู้หนึ่ง มีนิสัยเกียจคร้าน ทั้งยังชอบลักขโมยของผู้อื่น พฤติกรรมของเขาเป็นที่เอือมระอาของศิษย์เซนคนอื่นๆ เป็นอย่างมาก

จนกระทั่งเมื่อศิษย์เซนเจ้าปัญหาถูกจับได้ว่าลักขโมยอีกครั้ง บรรดาศิษย์คนอื่นๆ จึงได้รวมตัวกันมาฟ้องร้องต่ออาจารย์เซนผานกุย โดยยื่นคำขาดว่าหากอาจารย์เซนไม่กำจัดศิษย์ผู้นี้ให้พ้นไปจากอารามโดยทันที เหล่าศิษย์ที่เหลือจะเป็นฝ่ายออกไปจากอารามเซนแห่งนี้แทน

มิคาด เมื่อได้ทราบเรื่องราว อาจารย์เซนผานกุยกลับกล่าวกับทุกคนว่า

“พวกท่านล้วนเป็นผู้มีสติปัญญาสามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งใดถูก-ผิด สิ่งใดดี-ชั่ว หากพวกท่านพาตัวพ้นจากอารามเซนแห่งนี้ไปล้วนไม่ก่อปัญหาภายนอก ทว่าศิษย์ผู้นี้ แม้แต่ถูก-ผิด เขายังมิอาจแยกแยะได้ หากเราไม่สอนเขาแล้วผู้ใดจะสอนเขา ดังนั้นเราจำเป็นต้องให้เขาอยู่ที่อารามแห่งนี้กับเรา ส่วนพวกท่านหากว่ามีผู้ใดไม่พอใจและตัดสินใจออกจากอารามนี้ไป ก็สุดแท้แต่เถิด”

เมื่อได้ยินดังนั้น ศิษย์เซนเจ้าปัญหาได้แต่คุกเข่าลงกับพื้นด้วยความซาบซึ้งใจในจิตเมตตาของอาจารย์เซน และพยายามกลับตัวเป็นคนดีในที่สุด


ขอบคุณนิทานเซนจาก ผู้จัดการ Online: นิทานเซน : ศิษย์ที่หลงทาง

อ่านบทความใหม่ทุกวันที่เพจ Anontawong’s Musings: facebook.com/anontawongblog

อ่านบทความทั้งหมด anontawong.com/archives

ดาวน์โหลดหนังสือ “เกิดใหม่” anontawong.com/subscribe/

เทคนิค 3R เมื่อเป้าหมายเริ่มห่างไกล

20170518_3r

คนจำนวนไม่น้อยชอบตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย และกระตุ้นให้เราลุกขึ้นจากเตียงทุกวัน

เป้าหมายยิ่งยาก ยิ่งเสี่ยงเท่าไหร่ รางวัลที่ได้มาก็ยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น

แต่หนึ่งในคำถามคลาสสิคที่คนชอบตั้งเป้าหมายมักพบกันก็คือ ถ้าความเป็นจริงกับเป้าหมายมันเริ่มห่างไกลขึ้นทุกที เราจะรู้ได้อย่างไรว่าควรจะไปต่อหรือควรจะยอมแพ้ (เพื่อไปจับเป้าหมายอื่นแทน)

Michael Hyatt ได้ให้ข้อคิดไว้ในพอดคาสท์ Smart Passive Income ซึ่งแม้จะไม่ได้ตอบคำถามนี้โดยตรง แต่ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่กำลังประสบปัญหาเป้าหมายกำลังจะหลุดมือนะครับ

เขาเรียกเทคนิคนี้ว่า 3R – Recommit, Revise, Remove

Recommit – บางทีการที่เราเหยาะแหยะหรือไม่กระตือรือล้นเท่าที่ควรจะเป็น อาจเป็นเพราะว่าเราหลงลืมไปว่าเหตุใดเราถึงตั้งเป้าหมายนี้ตั้งแต่ต้น (Why?) ถ้าเราสามารถระลึกถึงเหตุผลนั้นได้  (และเหตุผลนั้นแข็งแรงพอ) เราก็จะมีแรงฮึดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งที่จะ recommit หรือตั้งปณิธานกับตัวเองว่าจะทำมันให้สำเร็จให้จงได้

Revise – สถานการณ์ในวันนี้ อาจจะแตกต่างจากสถานการณ์ตอนที่เราตั้งเป้าหมาย เราอาจจะเปลี่ยนงานใหม่ อาจจะมีภาระความรับผิดชอบมากขึ้น อาจจะเวลาน้อยลง เป้าหมายเดิมจึงไม่สมเหตุสมผลกับสถานการณ์อีกต่อไป การรีวิวและปรับเป้าหมายจึงอาจเป็นไอเดียที่ดี

Remove – แต่หากเราพบว่าเป้าหมายที่เราเคยตั้งเอาไว้ ไม่ได้สอดคล้องกับตัวตนและความสนใจของเราในวันนี้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดที่จะลบเป้าหมายนั้นทิ้ง เพราะการหยุดไม่ใช่อาชญากรรม หากเป้าหมายนั้นไม่ได้มีคุณค่าในสายตาเราอีกต่อไป ก็ควรจะเอาเวลาและพลังที่เรามีจำกัดนี้ไปทำอย่างอื่นดีกว่า

Michael Hyatt บอกว่าเราควรจะ Recommit ก่อน ถ้า Recommit ไม่ได้ก็ค่อย Revise แต่ถ้า Revise แล้วก็ยังไม่ใช่นั่นแปลว่าเราต้อง Remove แล้วครับ

หวังว่าเทคนิค 3R นี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคนชอบตั้งเป้าหมายนะครับ

(ส่วนใครไม่ชอบตั้งเป้าหมายก็ขอเชิญอ่านบทความนี้ได้เลย -> ปีใหม่นี้มาเลิกตั้งเป้าหมายกันเถอะ)


ขอบคุณข้อมูลจาก Smart Passive Income Podcast: SPI 243: How to Create Your Life Vision Plan with Michael Hyatt 

อ่านบทความใหม่ทุกวันที่เพจ Anontawong’s Musings: facebook.com/anontawongblog

อ่านบทความทั้งหมด anontawong.com/archives

ดาวน์โหลดหนังสือ “เกิดใหม่” anontawong.com/subscribe/

เข้าใจโรคซึมเศร้าใน 3 นาที

20170517_depression

เมื่อคืนนี้เจอพี่คนนึงนำข้อความนี้มาขึ้นไว้ในเฟซบุ๊ค ผมใช้เวลาอ่านเพียง 3 นาทีก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง คิดว่ามีประโยชน์มากเลยขอนำมาแชร์ไว้ตรงนี้ครับ

— copy มาจากพี่ที่รู้จักกันท่านหนึ่ง —
เปลี่ยนหมอ เปลี่ยน โรงพยาบาล

นี่คือ บางส่วนของบทสนทนา หมอ และคนไข้ เมื่อวาน

หมอ: หมอจะอธิบายให้เข้าใจ ว่าโรคซึมเศร้ามันเกิดจากอะไรนะคะ จะได้รู้ว่า ต้องตั้งใจรักษาอย่างจริงจัง ไม่อย่างนั้น คุณก็จะเป็นๆหายๆแบบนี้ ไม่จบ จนตาย

คนไข้: ค่ะ (ตาโต กับคำว่า ‘จนตาย’)

หมอ: โรคนี้ มันเกิดจาก Attitude นิสัย และพฤติกรรมการใช้ชีวิต ในอดีตของคุณที่ผ่านมา 17 ปีการทำงานที่คุณเล่าให้หมอฟัง คุณใช้ชีวิตแบบ ไม่บาลานซ์ ระหว่าง work-relax-sleep เลย…ที่ผ่านมา คุณมีแต่ work กับ การนอนที่ไร้คุณภาพ … ใช้ชีวิต ทำลาย neuron และสารสื่อประสาทในสมองจนเหี้ยน เหมือนผักที่คุณสับจนเละ และฝ่อไป ไม่มีจังหวะให้ฟื้นฟู จนเส้นประสาทมัน ต่อกันไม่ติด

คนไข้: (ก้มหน้ารับ)

หมอ: ทำลายสมองไม่พอ … เวลาเกิดความเครียดสะสม มันก็ก่อตัวพอกพูน เหมือนภูเขาน้ำแข็งใต้ทะเล เมื่อไม่มี relax ก็เหมือนไม่มีพลังบวกไปละลายน้ำแข็ง มันก็พอกๆกันเยอะขึ้นจนโผล่มาเหนือน้ำ ซึ่งก็แสดงออกมาในอาการป่วยที่เป็นอยู่ ต้องเพิ่ม relax เพิ่มการพักผ่อน และลดหรือเลี่ยงสิ่งเร้านะคะ

คนไข้: (คิดในใจ… หมออธิบายเก่งจัง)

หมอ: การ relax เช่น เล่นกับลูก (หยุด มองหน้าคนไข้) หรือหา ผ..เอ่อ แฟนก็ได้นะคะ (หยุด มองหน้าคนไข้อีก) เอ่อ หรือ หากิจกรรมทำกับเพื่อนๆ นะคะ

หมอ: (อธิบายต่อ) นอนพักให้พอ กินให้พอ ให้อาหารสมองนะคะ  ทำงาน ก็ทำแค่ในเวลางานนะคะ …คุณทำ IT หมอก็พอจะเข้าใจ ว่ามันต้องรับผิดชอบ แต่ถึงจุดที่ป่วยแล้ว ก็ต้องหยุดไม๊

คนไข้: … หมอพูด เหมือนเข้าใจคนทำ IT

หมอ: อ่อ ค่ะ คุณเป็น IT รายที่ 5 ที่มาหาหมอวันนี้

คนไข้: การรักษาล่ะคะ ต้องนานแค่ไหน จะหายไม๊

หมอ: โรคนี้ ต้องกินยารักษาต่อเนื่อง เพื่อให้ยาช่วยเติมสารสื่อประสาทและฟื้นฟูเส้นประสาท ให้กลับมาเหมือนเดิม เพิ่ม การนอนที่มีคุณภาพ เพิ่ม relax และต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต มุมมองและทัศนคติ ในการใช้ชีวิตใหม่ ….ความยาก คือ หมอต้องทดลองให้ยาทีละแบบ เพื่อดูผลข้างเคียง ถ้าไม่เวิร์ค ต้องเปลี่ยนไป จนกว่าจะเจอยาที่สมองเรารับ และ ย้ำ ว่าต้องรักษาต่อเนื่อง ประมาณ 1-2 ปี…. หายได้ แต่ต้องอดทน และสู้กับมัน

อย่ารักษาแบบเดี๋ยวกินยา เดี๋ยวดี เดี๋ยวหยุด เหมือนที่ผ่านมา ถ้าปล่อยเรื้อรัง ถึงจุดที่รักษายาก มันอาจถึงต้องใช้ไฟฟ้าช็อตสมองเพื่อช่วยให้เส้นประสาท สื่อถึงกันได้

คนไข้: (ทำหน้าประหลาดใจ) ขนาดนั้นเลยหรือคะหมอ เพิ่งรู้นะเนี่ย

หมอ: จริงๆ หมอไม่ได้ขู่ … ยังดีที่คุณ ยังไม่ถึงขั้น อยากฆ่าตัวตาย แต่ขั้นนี้ ที่ลุกไม่ได้ เศร้า ไม่อยากเข้าสังคม ชอบอยู่คนเดียว แบบนี้…ถ้าปล่อยไว้ เดี๋ยวความคิดที่ว่า ตัวเองไร้ความสามารถ ก็จะมา ท้ายที่สุด ถ้าไม่มีสติ จะไปขั้นที่น่ากลัว คือ จะคิดฆ่าตัวตายละ

คนไข้: (เว่อร์ไปไม๊หมอ)

หมอ: เอาล่ะค่ะ หมอจะจ่ายยาให้ กินทุกวันนะคะ อีกสองอาทิตย์เจอกัน

จบ …จ่ายค่าหมอและยาเกือบสามพัน เบิกประกันไม่ได้ เพราะเป็นหมอจิตเวช ค่าคุยกะหมออย่างเดียว สองพัน ในครึ่ง ชม.

แต่ขอบคุณหมอท่านนี้ ที่ทำให้เข้าใจ ว่าโรคซึมเศร้า อันตรายแค่ไหน

โรคนี้ ต้องจริงจังในการรักษาสินะ


แน่นอนว่าบทสนทนาสั้นๆ คงไม่อาจมีข้อมูลครบถ้วน แต่ผมคิดว่ามันก็ครอบคลุมใจความสำคัญๆ ที่เราสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทันที

บทเรียนสำหรับผมก็คือ

1. โรคนี้อาจจะเกิดกับใครก็ได้

2. ควรพักผ่อนให้เพียงพอ

3. ที่แต่ก่อนคนไทยไม่ค่อยเป็นโรคนี้กันอาจเป็นเพราะว่าสภาพสังคมไม่ได้บีบคั้นให้ทำงานเยอะแบบไม่เป็นเวล่ำเวลาอย่างสมัยนี้ ดังนั้นเราจึงไม่ควรชะล่าใจว่าเราไม่เป็นหรอก หรือแค่ปฏิบัติธรรมก็หายแล้ว (อาจจะช่วยได้บ้างในแง่การป้องกัน แต่ในแง่การรักษาคงยาก เพราะมันเป็นเรื่องของสารสื่อประสาทในสมอง ไม่ใช่แค่เรื่องจิตใจแล้ว)

ดูแลร่างกายและจิตใจกันให้ดีนะครับทุกคน


อ่านบทความใหม่ทุกวันที่เพจ Anontawong’s Musings: facebook.com/anontawongblog
อ่านบทความทั้งหมด anontawong.com/archives
ดาวน์โหลดหนังสือ “เกิดใหม่” anontawong.com/subscribe/

 

หมุดหมายประจำวัน

20170516_peg

ขอโทษที่หายหน้าหายตาไปหลายวันนะครับ ไปงานแต่งงานเพื่อนที่ปราณบุรีมา กลับมาบ้านก็ป่วยออดๆ แอดๆ ทั้งผม แฟน และลูกเลย เลยไม่มีสมาธิเขียนบทความเท่าไหร่ แต่สัญญาว่าจะเขียนชดเชยให้นะครับ!

ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมามีเรื่องหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าทำแล้วดีเลยอยากจะเอามาแชร์กัน

นั่นคือการกำหนดกิจกรรมซัก 3-4 อย่างที่เราตั้งใจจะทำทุกวัน

ผมอยากเรียกกิจกรรรมเหล่านี้ว่าหมุดหมายประจำวัน เพราะมันเป็นเหมือนหลักยึดที่จะส่งให้เราทำเรื่องอื่นๆ ได้ดีในวันนั้น

หมุดหมายประจำวันของผมมีดังนี้

  • เขียนไดอารี่ 5 นาที
  • วิดพื้น 50 ครั้ง หรือทำแพลงก์ 5 นาที
  • เรียนภาษาใหม่กับ Duolingo
  • สวดมนต์และหรือนั่งสมาธิ

ทั้ง 4 กิจกรรมนี้ ใช้เวลาอย่างละแค่ 5 นาที (ยกเว้นเรื่องนั่งสมาธิซึ่งอาจยาวนานกว่านั้น) ถ้าวันไหนผมตื่นเช้าหน่อย ก็จะทำทั้ง 4 อย่างนี้ให้เสร็จก่อนออกจากบ้าน แต่ถ้าวันไหนสถานการณ์ไม่เป็นใจ ก็อาจจะทำกิจกรรมบางอย่างระหว่างวัน หรือไม่ก็กลับมาทำบางข้อตอนกลางคืนแทน

แม้วันไหนทำงานมาเหนื่อยๆ แล้วไม่มีกะจิตกะใจจะวิดพื้นเยอะๆ ผมก็ยังบอกตัวเองให้วิดพื้นซัก 10 ทีก็ยังดี หรือถ้าง่วงเกินจะนั่งสมาธิ ก็ขอดูลมหายใจซัก 1 นาทีก็ยังดี

การทำกิจกรรมเหล่านี้มีประโยชน์หลายแง่

  • เป็นชัยชนะเล็กๆ ที่จะทำให้เรามีแรงฮึดไปสู้งานชิ้นใหญ่ๆ
  • เป็นการเดินทีละก้าวบนเส้นทางที่มีประโยชน์กับเราในระยะยาว
  • เป็นการให้ “เวลา” เป็นของขวัญกับตัวเอง แทนที่จะยกให้คนอื่นหมด

ข้อสังเกตอีกอย่างคือหมุดหมายประจำวันควรจะครอบคลุมทั้งด้านร่างกาย สมอง และจิตใจ

แต่ละคนย่อมมีหมุดหมายประจำวันไม่เหมือนกัน แต่อยากให้ลองคิดดูครับว่า อะไรบ้างที่เราชอบทำ และใช้เวลาไม่นานเกินไปนัก (แต่ละกิจกรรมควรจะทำได้ในเวลาไม่เกิน 5 นาที เราจะได้ไม่มีข้ออ้างว่าไม่มีเวลา) จากนั้นก็ทดลองทำดูติดต่อกันซักสามวันหรือห้าวันก็ได้

ลองแล้วได้ผลยังไง มาเล่าให้ฟังกันบ้างนะครับ

 


อ่านบทความใหม่ทุกวันที่เพจ Anontawong’s Musings: facebook.com/anontawongblog
อ่านบทความทั้งหมด anontawong.com/archives
ดาวน์โหลดหนังสือ “เกิดใหม่” anontawong.com/subscribe/