นิทานเคล็ดลับความสำเร็จ

20170523_successsecret

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

เหล่าศิษย์ถามอาจารย์เซนว่า “ท่านอาจารย์ ทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จ?”

อาจารย์เซนตอบว่า “วันนี้พวกเจ้าจะได้เรียนรู้ในสิ่งที่ธรรมดาที่สุด และง่ายดายที่สุด นั่นคือให้ทุกๆ คน แกว่งมือไปข้างหน้าให้ไกลที่สุด จากนั้นแกว่งกลับไปด้านหลังให้ไกลที่สุด” กล่าวจบจึงปฏิบัติให้เหล่าศิษย์ดูเป็นตัวอย่าง 1 รอบ จากนั้นกล่าวต่อไปว่า “นับตั้งแต่วันนี้ พวกเจ้าจงทำเช่นนี้ติดต่อกันวันละ 300 ครั้ง ทุกๆ วัน ทุกคนสามารถทำได้หรือไม่?”

บรรดาศิษย์เซน พากันสงสัย เอ่ยถามว่า “พวกเราต้องทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร?”

อาจารย์เซนชี้แจงว่า “หากพวกเจ้าสามารถปฏิบัติได้สำเร็จ อีก 1 ปีให้หลังพวกเจ้าจะทราบถึงหนทางที่นำไปสู่ความสำเร็จ”

เหล่าศิษย์ล้วนคิดตรงกันว่า “เรื่องง่ายๆ เช่นนี้ ใครๆ ก็ย่อมทำได้” จากนั้นจึงเริ่มปฏิบัติ

เวลาผ่านไป 1 เดือน อาจารย์เซนถามเหล่าศิษย์ว่า “การแกว่งแขนที่ข้าให้พวกเจ้าปฏิบัติ มีใครยังทำต่อเนื่องอยู่บ้าง?” ศิษย์เซนส่วนใหญ่ต่างตอบด้วยความภาคภูมิใจว่า ยังปฏิอยู่ อาจารย์เซนจึงผงกศีรษะด้วยความพอใจ พลางกล่าวว่า “ดีมาก”

เวลาผ่านไปอีกเดือนหนึ่ง อาจารย์เซนเอ่ยถามอีกครั้งว่า “ยังมีกี่คนที่แกว่งแขนอยู่?” ปรากฏว่ามีศิษย์เซนประมาณครึ่งหนึ่งที่ยังคงปฏิบัติอยู่ ส่วนที่เหลือกว่าครึ่ง ล้วนถอดใจล้มเลิกไปแล้ว

เมื่อครบเวลา 1 ปีที่กำหนด อาจารย์เซนจึงได้สอบถามเหล่าศิษย์อีกครั้งว่า “กิจกรรมแกว่งแขนอันแสนง่ายดายนี้ ใครยังคงทำอยู่บ้าง?” ในครั้งนี้ มีศิษย์เพียงผู้เดียวที่ชูมือขึ้นและกล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า “อาจารย์ ข้ายังทำอยู่”

อาจารย์เซนจึงกล่าวกับศิษย์ทั้งหมดว่า “ข้าเคยบอกพวกเจ้าว่าเมื่อภารกิจนี้สิ้นสุด พวกเจ้าจะทราบถึงหนทางที่นำไปสู่ความสำเร็จ ที่ข้าอยากจะบอกพวกเจ้าก็คือ ในโลกนี้สิ่งที่ทำได้ง่ายดายที่สุดก็มักจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยากเย็นที่สุด และสิ่งที่ยากเย็นที่สุดก็สามารถจะกระทำได้อย่างง่ายดายเช่นกัน ที่บอกว่ามันง่ายดาย เนื่องเพราะขอเพียงยอมลงมือทำ ใครๆ ก็สามารถทำได้ แต่ที่บอกว่ามันยากเย็นก็เพราะผู้ที่สามารถยืนหยัดกระทำอย่างต่อเนื่องยาวนานนั้นกลับมีไม่มาก


ขอบคุณนิทานจาก Manager Online: นิทานเซน : เคล็ดลับความสำเร็จ

อ่านบทความใหม่ทุกวันที่เพจ Anontawong’s Musings: facebook.com/anontawongblog

อ่านบทความทั้งหมด anontawong.com/archives

ดาวน์โหลดหนังสือ “เกิดใหม่” anontawong.com/subscribe/

นาฬิกาแดดที่อยู่ในร่ม

20170525_sundial

Hide not your talents,
they for use were made,
What’s a sundial in the shade?

อย่าซุกซ่อนพรสวรรค์
เพราะมันมีไว้ให้ใช้
นาฬิกาแดดที่อยู่ในร่มจะมีประโยชน์อะไร?

-Benjamin Franklin

ผมรู้สึกมานานานแล้วว่า เราไม่มีทางเดาได้เลยว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเราเขาเก่งเรื่องอะไร

เพื่อนมัธยมคนหนึ่งหน้าตี๋ๆ ผมเกรียนๆ ลุคคุณชายๆ คุณต้องเรียนโรงเรียนเดียวกับเขาเท่านั้นถึงจะรู้ว่าเขาเป็นมือกีตาร์มือวางอันดับต้นๆ ของโรงเรียน

เพื่อนอีกคนเป็นพนักงานบริษัท ตัวผอมๆ หน้าตาซื่อๆ พูดน้อยราวกับกลัวดอกพิกุลจะร่วง แต่ถ้าได้คุยกับเขาจะรู้ว่าพอร์ตหุ้นของเขามีมูลค่าเกิน 10 ล้าน

ส่วนเพื่อนอีกคนจบวิศวะ หน้าตาเหี้ยมพอจะเป็นมือปืนได้ แต่ใครจะรู้ว่าเขาทำอาหารอร่อยมากจนตอนนี้ออกไปเปิดร้านของตัวเองแล้ว

ผมจึงเชื่อว่าแต่ละคน “มีของ” ทั้งนั้น

รวมถึงคุณด้วย

คำถามคือคุณจะนำของที่คุณมีมาสร้างประโยชน์แก่คนในวงกว้างกว่านี้รึเปล่า?

หลายคนไม่กล้า เพราะคิดว่าตัวเองยังไม่เก่ง หรือไม่ก็กลัวการถูกปฏิเสธหรือถูกเมินเฉย

แต่ในยุคอินเตอร์เน็ตที่ความเก่งของคุณอาจสร้างประโยชน์ให้กับคนได้มหาศาล การเก็บความสามารถไว้กับตัวเองถือเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง

ไม่ได้จะเชียร์ให้ทุกคนต้องออกมาเขียนบล็อก เปิดเพจ ทำเฟซบุ๊คไลฟ์นะครับ เพียงแต่อยากเชิญชวนให้ลองนำความสามารถที่เรามีมาสร้างแรงกระเพื่อมให้มากกว่าที่เคย

พรสวรรค์มีไว้ให้สำแดง นาฬิกาแดดต้องกล้าประจันหน้าพระอาทิตย์

เกิดเป็นนาฬิกาแดด ถ้ามัวแต่อยู่ในร่มก็เสียชาติเกิดนะ ว่ามั้ย?

 


 

อ่านบทความใหม่ทุกวันที่เพจ Anontawong’s Musings: facebook.com/anontawongblog

อ่านบทความทั้งหมด anontawong.com/archives

ดาวน์โหลดหนังสือ “เกิดใหม่” anontawong.com/subscribe/

เหตุผลที่เราควรรักษาคำพูด

20170524_keepmyword

นิสัยหนึ่งที่ผมอยากปรับปรุงคือการรักษาคำพูด

ธรรมดาผมเองก็เป็นคนที่วางใจได้ระดับหนึ่ง ถ้าผมรับปากเรื่องใหญ่ๆ อะไรไว้ก็มักจะทำออกมาให้ได้ตามนั้น แต่ปัญหาก็คือบางทีก็ทำออกมาได้ช้ากว่าที่คิดไว้ หรืองานบางงานที่ไม่ได้สำคัญหรือเร่งด่วนมากก็จะถูกผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ แม้จะไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แต่ผมก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี

ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าการรักษาคำพูดเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันเป็นเรื่องการสร้างความน่าเชื่อถือและความเคารพ ถ้าเราพูดแล้วไม่ทำ ความเชื่อมั่นที่คนอื่นมีให้เราก็จะด้อยลงเรื่อยๆ

แต่ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมว่าสำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือหากเราไม่รักษาคำพูดบ่อยๆ แม้แต่ตัวเราเองก็จะเลิกเชื่อตัวเองด้วย!

แม้แต่เรื่องเล็กๆ ว่าวันนี้เราจะทำอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเราก็เอาเวลาไปผลาญกับเรื่องอื่น ความเชื่อมั่นในตัวเองในระดับจิตใต้สำนึกก็จะถูกบั่นทอนลงอย่างช้าๆ จนสุดท้ายเราจะกลายเป็นคนที่เลิกเชื่อคำพูดของตัวเองไปโดยปริยาย เพราะพูดอะไรไปแล้วไม่เห็นจะทำเสียที

กฎหมายจะศักดิ์สิทธิ์ถ้ามันถูกบังคับใช้อย่างเท่าเทียมกันฉันใด คำพูดของคนๆ หนึ่งจะศักดิ์สิทธิ์ก็ต่อเมื่อเขาพูดแล้วทำฉันนั้น

ถ้าคำพูดของเราขาดความศักดิ์สิทธิ์ระดับที่ตัวเองพูดแล้วยังไม่เชื่อ ก็ถึงเวลาต้องปฏิรูปโดยด่วนแล้ว

 


อ่านบทความใหม่ทุกวันที่เพจ Anontawong’s Musings: facebook.com/anontawongblog

อ่านบทความทั้งหมด anontawong.com/archives

ดาวน์โหลดหนังสือ “เกิดใหม่” anontawong.com/subscribe/

คิดก่อนพูดนั้นก็ดีอยู่หรอก

20170523_thinkbeforeyouspeak

แต่จะดีกว่านั้น ถ้าเราอ่านก่อนคิดด้วย

Think before you speak. Read before you think.
-Fran Lebowitz

เพราะความคิดทั้งหมดของเราล้วนแต่ต้องอาศัยสิ่งที่มีอยู่ในหัวสมอง

และสิ่งที่อยู่ในหัวของเราก็คือสิ่งที่เราได้เสพมาผ่านการอ่านและการฟัง (รวมถึงการวิเคราะห์และสังเคราะห์บทสรุปจากข้อมูลเหล่านั้นด้วย)

หัวสมองของคนที่อ่านมาเยอะ ฟังมาเยอะ ย่อมสามารถคิดอะไรได้ครอบคลุมและรอบด้านกว่า และมีแนวโน้มที่จะสอดคล้องกับความจริงมากกว่า

การคิดก่อนพูด และการอ่านก่อนคิดจึงน่าจะเป็นไอเดียที่ดี

โดยเฉพาะในสังคมที่พูดไม่คิด แถมก่อนคิดก็ยังไม่อ่านอีกด้วย!


อ่านบทความใหม่ทุกวันที่เพจ Anontawong’s Musings: facebook.com/anontawongblog

อ่านบทความทั้งหมด anontawong.com/archives

ดาวน์โหลดหนังสือ “เกิดใหม่” anontawong.com/subscribe/

4 วิธีทำให้ตัวเองอารมณ์ดีขึ้น (ตามหลัก Neuroscience)

20170521_cheerup3

วันนี้มีเทคนิคดีๆ จากเว็บ Big Think ว่าด้วยการทำตัวเองให้อารมณ์ดีขึ้น โดยวิธีการเหล่านี้ล้วนมีแต่เหตุผลทาง Neuroscience (ประสาทวิทยาศาสตร์) มาสนับสนุนด้วยครับ

1. ขอบคุณ
ในสมองของเราจะมีส่วนที่เรียกว่า Reward Center ซึ่งประกอบไปด้วย dorsomedial prefrontal cortex, amygdala, insula เวลาเราได้กินอาหารตอนที่ท้องหิว เวลาได้ช่วยเหลือคน เวลาได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งเวลาได้เสพยาเสพติดบางชนิด เราจะรู้สึกดีเพราะสมองส่วน Reward Center นี้ถูกกระตุ้น

แต่คุณรู้หรือไม่ว่า เวลาที่เรากังวล เครียด หรือรู้สึกผิด เราก็กำลังกระตุ้นประสาทส่วน Reward Center นี้เช่นกัน นี่คือเหตุผลที่ใครหลายคนติดนิสัยด่าทอตัวเองหรือพูดจาเชิงลบอยู่ในหัวตลอดเวลา นั่นเพราะว่ามันไปกระตุ้นตัว Reward Center แม้จะเป็นการกระตุ้นในทางไม่ดี แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีการกระตุ้นอะไรเลย

หากพบว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสภาวะที่หดหู่ตึงเครียด วิธีหาทางออกที่ง่ายที่สุดคือการ “รู้สึกขอบคุณ” (feeling gratitude) กับอะไรก็ได้ ซึ่งมันจะทำให้สมองหลั่งสาร Serotonin ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข

แม้บางทีเราจะนึกไม่ออกว่าอยากจะขอบคุณ “อะไร” ก็ไม่เป็นไร เพราะแค่รู้สึกขอบคุณเฉยๆ ก็สามารถทำให้สมองหลั่งสารนี้ออกมาได้แล้ว

2. ตั้งชื่อให้ความรู้สึก
ถ้าขอบคุณแล้วก็ยังรู้สึกแย่อยู่ ลองสำรวจให้ดีๆ ว่าความรู้สึกที่คุณกำลังประสบอยู่นั้นคือความรู้สึกอะไร? เศร้า? จ๋อย? เหงา? โกรธ? ผิดหวัง?

นาย David Rock เขียนไว้ในหนังสือ Your Brain at Work: Strategies for Overcoming Distraction, Regaining Focus, and Working Smarter All Day Long ว่า

“หากอยากลดระดับความรุนแรงของอารมณ์ คุณแค่ต้องใช้คำไม่กี่คำในการอธิบายอารมณ์นั้น ถ้าจะให้ดีควรเป็นภาษาเชิงอุปมาอุปไมยและสรุปอารมณ์นั้นด้วยคำที่เรียบง่ายเข้าไว้ การกระทำนี้จะไปกระตุ้นสมองส่วนหน้า (prefrontal cortex) ซึ่งจะไปลดการกระตุ้นระบบลิมบิก (ซึ่งควบคุมด้านอารมณ์)”

3. ตัดสินใจ
อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เรากังวลได้เป็นเวลานาน คือการคิดซ้ำไปซ้ำมากับปัญหาเดิมๆ และพยายามหาทางออกที่ดีที่สุด

แต่บางทีเราไม่จำเป็นต้องหาทางออกที่ดีที่สุดก็ได้ แค่ตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่งก็เพียงพอที่จะทำให้เราหยุดกังวลได้แล้ว เพราะการตัดสินใจจะทำให้สมองหลั่งสาร dopamine ซึ่งเป็น neurotransmitter (สารส่งผ่านประสาท) ซึ่งทำให้เรารู้สึกดี
4. โอบกอด
การโอบกอด (โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกอดนานๆ) จะทำให้สมองหลั่งฮอร์โมน oxytocin ซึ่งจะไปลดปฏิกิริยาของต่อม amygdala (ที่มักจะถูกกระตุ้นตอนเรากลัวหรือกังวล) ส่วนการจับมือหรือตบไหล่ก็ช่วยได้เช่นกัน

แต่ถ้าเราไม่มีใครให้กอดหรือให้บีบมือแน่นๆ ล่ะ? อย่าเพิ่งหมดหวังครับ นักประสาทวิทยาบอกว่าการนวดก็ช่วยกระตุ้นให้สมองหลั่ง oxytocin ได้

และนี่คือ 4 วิธีที่จะช่วยให้เราอารมณ์ดีขึ้นได้ฟรีๆ ครับ (ยกเว้นข้อสุดท้ายที่อาจต้องพึ่งหมอนวดแผนโบราณ!)


ขอบคุณข้อมูลจาก Big Think: 4 Things You Can Do to Cheer Up, According to Neuroscience

อ่านบทความใหม่ทุกวันที่เพจ Anontawong’s Musings: facebook.com/anontawongblog

อ่านบทความทั้งหมด anontawong.com/archives

ดาวน์โหลดหนังสือ “เกิดใหม่” anontawong.com/subscribe/