
เมื่อวานผมได้ไปวิ่งรอบหมู่บ้านมาห้ากิโล หลังจากไม่ได้ออกกำลังกายมาร่วมสัปดาห์
ความแตกต่างคราวนี้ คือผมไม่ได้ใส่นาฬิกา
ปกติ เวลาออกวิ่งผมจะจับเวลาด้วย เพื่อจะคอยเตือนตัวเองว่า เอ้อ วิ่งช้าไปแล้วนะ ควรเร่งฝีเท้าหน่อยนะ
แต่เมื่อวาน ผมลองวิ่งโดยไม่จับเวลาเลย แต่หันมา “จับร่างกาย” และ “จับใจ” ดู
วิ่งไปได้ซักสองกิโล ก็เริ่มรู้สึกว่า การวิ่งนี่ก็ถือเป็นการฝึกสติที่ดีอย่างหนึ่งเลยทีเดียว
เพราะการวิ่งคือการ “เข้าสู่โลกส่วนตัว” แทบจะโดยสมบูรณ์แบบ เพราะไม่มีใครชวนคุย ไม่ต้องกังวลเรื่องโทรศัพท์มือถือ
มีแค่เรา เสื้อผ้า และรองเท้าเท่านั้น
การวิ่งทางไกลนั้นเป็นกีฬาที่แปลก เพราะเราไม่ได้แข่งกับใคร นอกจากแข่งกับตัวเอง ว่าจะวิ่งได้ดี วิ่งได้เร็วกว่าเดิมหรือไม่
แต่พอไม่ได้จับเวลา และไม่ได้คาดหวังว่าต้องวิ่งให้เร็วขึ้น จึงหมกมุ่นกับตัวเองน้อยลง และมีโอกาสได้ดูตัวเองมากขึ้น
วิ่งไป ก็ดูความรู้สึกของกายไป ว่าแขวนกำลังแกว่ง เท้าซ้ายกับเท้าขวาก็สลับกันส่งร่างกายให้ไปต่อ ดูลมหายใจเข้า-ออกเป็นจังหวะแรงๆ และดูใจของเราที่วกไปคิดเรื่องโน้นที เรื่องนี้ที
ยิ่งวิ่งไปมากเท่าไหร่ “ตัวเรา” ก็ยิ่งหายไป เห็นแต่ร่างกายที่กำลังขยับเขยื้อนเคลื่อนไปเหมือนหุ่นยนต์ และมีใจคอยดูอยู่ห่างๆ
หรือจริงๆ แล้วจุดประสงค์ของการวิ่ง ไม่ใช่เพื่อเอาชนะตัวเอง
แต่เพื่อลดความเป็นตัวตน จนไม่เหลือใครให้ชนะแล้วต่างหาก
—-
อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/
อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)
ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่”
ขอบคุณภาพจาก Pexels.com