
ช่วงนี้ผมได้ยินได้ฟังเรื่องคนทำงานประเภทหนึ่งบ่อยๆ
เป็นคนที่อายุเพียงสามสิบปลายๆ ที่เติบโตในองค์กรอย่างรวดเร็วจนมีตำแหน่งใหญ่โตระดับมีลูกน้องในเครือหลายสิบหลายร้อยคน
คนเหล่านี้คือดาวเด่นในองค์กร บุคลิกดี มีเสน่ห์ คิดไว ทำไว
แต่ลูกน้องมักไม่รัก และมีคนในทีมลาออกเป็นประจำ
ที่ไม่รัก ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นคนใจไม้ไส้ระกำอะไร
แต่เพราะการทำงานแบบคิดไว ทำไว มักจะตามมาด้วยอาการเหล่านี้
- สั่งวันนี้จะเอาพรุ่งนี้
- ทำเสร็จแล้วสั่งให้กลับไปแก้ใหม่หลายรอบ
- สั่งเปลี่ยนเนื้องานกลางคัน อันที่ทำอยู่เดิมใช้ไม่ได้หรือไม่ได้ใช้
อย่างที่ผมเคยเขียนไว้ว่า motivation ที่สำคัญที่สุดสำหรับคนทำงานคือการได้เห็นความคืบหน้าในงานที่มีประโยชน์ (make progress in meaningful work)
และสิ่งที่ demotivate ลูกน้องได้มากที่สุดก็คือ setbacks หรือความรู้สึกว่างานที่ทำมันไม่ไปไหนซะที
ยิ่งถ้ารู้สึกว่างานที่ทำมันไม่เมคเซ้นส์ ทำงานไปก็เกิดคำถามไปตลอดเวลาว่า “จะทำไปทำไม(วะ)” สภาพจิตใจคนทำงานยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
พอลูกน้องมาขอลาออก ผมก็ไม่แน่ใจว่าผู้นำไฟแรงจะคิดสำรวจตัวเองบ้างรึเปล่า เพราะเขาก็ทำแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรและมันก็ช่วยให้เขาเติบโตมาได้รวดเร็วขนาดนี้ ดังนั้นเขาอาจจะมองว่าลูกน้องที่มาลาออกนั้นไม่ fit กับวัฒนธรรมองค์กรหรืออาจไม่ strong พอ
ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องน่าเสียดาย
เพราะจริงๆ แล้วคนที่ลาออกอาจจะ strong มาก และ fit มาก เพียงแต่เขารับไม่ได้กับวิธีการทำงานของหัวหน้าเท่านั้นเอง (People don’t leave their companies – they leave their bosses)
—–
คนเรายิ่งอยู่สูง ยิ่งมีโอกาสสร้างกรรมได้เยอะ ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว
เพราะทุกการกระทำของคุณมันกระทบกับคนหมู่มาก
ถ้าคุณเป็นนายกฯ ที่ตั้งใจทำงาน สร้างความเจริญให้กับบ้านเมือง คุณก็สร้างสิ่งดีๆ ให้กับคนถึงหลายสิบล้านคน ถือเป็นกุศลกรรมก้อนใหญ่
และในทางกลับกัน ถ้าคุณคิดร้ายทำลายบ้านเมือง คุณก็จะโดนชาวบ้านสาปแช่งไปถึงลูกถึงหลาน
คนเป็นหัวหน้าก็คล้ายๆ กัน เพียงแต่สเกลเล็กกว่าเท่านั้นเอง
ความคิดและการตัดสินใจของคุณจะกระทบคนเป็นสิบเป็นร้อยคน
ถ้าคุณคิดเร็ว ทำเร็ว แต่ไม่รอบคอบ นั่นหมายถึงลูกน้องของคุณต้อง suffer มหาศาล
และผมมองว่าเป็นการผิดศีลข้อสองด้วย จึงเป็นที่มาของชื่อบทความ “เจ้านายอทินนา” (ตอนแรกจะใช้ชื่อว่า “เจ้านายขี้ขโมย” ด้วย แต่เกรงจะดูแรงไป)
ผิดศีลข้อสองยังไง?
ผมเองก็ไม่ได้เป๊ะเรื่องพุทธศาสนานะครับ แต่ถ้าเป้าหมายหลักของการรักษาศีลคือการไม่เบียดเบียนใคร และศีลข้อสองหมายถึงการไม่ไปเอาของๆ ใครที่เขาไม่ได้เต็มใจจะให้
หัวหน้าที่ใช้งานลูกน้องหนักหามรุ่งหามค่ำ ก็ผิดศีลข้อสองไปเต็มๆ เพราะเขาได้เบียดเบียนและขโมยสมบัติที่มีค่ามากที่สุดที่คนๆ หนึ่งจะมี
นั่นก็คือเวลา
เวลาที่จะได้กินข้าวเย็นอร่อยๆ
เวลาที่จะได้ไปออกกำลังกายและได้นอนพักอย่างเต็มที่
เวลาที่จะได้พูดคุยกับคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นลูกที่ยังเล็ก คู่ชีวิตที่รักยิ่ง และบุพการีที่เหลือเวลาไม่มากนักบนโลกใบนี้
แทนที่พนักงานเหล่านี้จะได้มีชีวิตหลังหกโมง กลับกลายเป็นต้องมานั่งปั่นงานที่ออฟฟิศตอนสามทุ่ม เพียงเพราะว่าเจ้านายเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหรือลืมสั่งงานให้เร็วกว่านี้
ยิ่งถ้ามีคนต้องเจอสภาพอย่างนี้หลายสิบคน แต่ละคนก็ทำงานด้วยความเครียดและกดดัน ลองคิดดูว่าก้อนพลังงานลบที่ลอยอยู่ในออฟฟิศมันจะเยอะขนาดไหน
และสุดท้ายแล้วมันจะไปรวมอยู่ที่ใคร
แน่นอนครับ โลกธุรกิจบางทีมันก็โหดร้าย ของบางอย่างมันรอไม่ได้ และในบางสถานการณ์เราจำเป็นต้องอยู่ดึกเพื่อให้งานมันเสร็จ
ซึ่งผมเชื่อว่าถ้าสถานการณ์นั้นมาถึง ลูกน้อง(ที่ดีๆ) ย่อมเต็มใจที่จะช่วยให้มันเสร็จอยู่แล้ว (และถ้าเต็มใจที่จะอยู่ช่วย ก็แปลว่าไม่มีการขโมยเวลาเกิดขึ้น)
แต่สิ่งที่ลูกน้องดีๆ ทนไม่ได้ ก็คือการที่เขาต้องกลับดึกวันแล้ววันเล่านั่งแก้งานที่เขามองว่าไม่เมคเซ้นส์
เจ้านายที่ดี คือเจ้านายที่สามารถทำให้ทีมบรรลุเป้าหมายได้
แต่เจ้านายที่สุดยอด คือเจ้านายที่สามารถทำให้ทีมบรรลุเป้าหมายได้ แถมลูกน้องยังรักอีกต่างหาก
ผมอยากเห็นบ้านเรามีเจ้านายอย่างหลังเยอะๆ ครับ
—–
อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/
อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)
ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่”
—–
ขอบคุณภาพจาก Wikimedia
Pingback: ทำงานเสร็จมากมายแถมยังได้กลับบ้านห้าโมงครึ่ง | Anontawong's Musings