วิวสวนจากทางเข้าโรงแรม The Leela Palace
เช้าเมื่อวานหลังจากที่เขียนตอนที่สองเสร็จ ลงไปทานข้าวก็เจอหัวหน้ากำลังนั่งทานอยู่คนเดียวพอดีเลยไปทานด้วย ซักพักน้อง HR ที่ไปด้วยอีกคนก็ตามมาแจม วันนี้ก็เลยนั่งรถคันเดียวกันไปบริษัท
ระหว่างทางเจ้านายก็ชี้ไปที่ฟุตบาทของถนนอีกฝั่งนึงให้ดูวัว
จริงด้วย ตั้งแต่มาอินเดียผมยังไม่เห็นวัวเลย ทั้งๆ ที่พี่ๆ เมืองไทยที่เคยมาที่นี่บอกแล้วว่าให้ระวังวัวด้วยนะ ที่นี่วัวเยอะ
วัวร่อนเร่อินเดียในจินตนาการของผมก็คล้ายๆ กับวัวที่เมืองไทย สีน้ำตาลๆ ผอมๆ หน่อย แต่วัวตัวแรกที่ผมได้เห็นที่บังกาลอร์นั้น เหมือนวัวฝรั่งที่อยู่ในทุ่งหญ้าสีเขียวไม่มีผิด ตัวสีขาวและมีลายสีดำ หน้าตาดูมีสง่าราศรีมาก เสียดายถ่ายรูปไม่ทัน
อย่างที่บอกไปตั้งแต่ตอนแรกว่ารถยนต์ที่นี่ส่วนใหญ่จะคันเล็กๆ ผมเลยลองยี่ห้อและรุ่นมาให้ดูครับ
Suzuki Alto
Maruti Suzuki Swift
Tata (ไม่เห็นเขียนว่ารุ่นอะไร)
Toyota Etios
Fiat Paleo
Hyundai Sanro
Skoda Laura
Hyundai i20
อ้อ แล้วที่ผมบอกว่าถนนที่บังกาลอร์ไม่ค่อยมีเส้นขาวแบ่งเลนนั้นผมเข้าใจผิดนะครับ เมื่อวานนี้เห็นแล้วว่ามันมี แต่มีเฉพาะเลนขวาสุดเท่านั้น
หัวหน้าผมยังบอกอีกว่าที่บังกาลอร์นี่ตอนค่ำจะยุ่งกว่าตอนกลางคืน เพราะความที่เขาต้องบริการลูกค้าที่อยู่ฝั่งอเมริกาค่อนข้างเยอะ คนที่นี่เลยทำงานกะดึกันเยอะมากซึ่งทำให้ตอนกลางคืนรถติดมาก อย่างตอนขามา (ตอนเที่ยงคืน) เราใช้เวลา 45 นาทีจากสนามบินถึงโรงแรม แต่ขากลับ (ซึ่งต้องออกจากโรงแรมประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง) น่าจะใช้เวลา 90 นาทีกว่าจะฝ่ารถติดออกจากตัวเมืองได้
การทำเวิร์คช็อปวันที่สองยุ่งมาก เพราะโดยหลัก The Lean Startup เราต้องเอาฟีดแบ็คของลูกค้าทางอีเมล์ที่ตอบมาคืนวันก่อนมาวิเคราะห์และวางแผนว่าต่อว่าจะต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม (iterate) เปลี่ยนทิศ (pivot) หรือเดินหน้าต่อ (persevere) จากนั้นก็ต้องเตรียมสไลด์และพรีเซ้นต์ในวันเดียวกันถึงสองรอบ เหนื่อยแต่ก็มันดีครับ
ตอนเย็นหลังเลิกงานเขาไม่มีเลี้ยงข้าวอะไร ตัวแทนจากกรุงเทพสามคน เลยกลับมาทานที่โรงแรม ซึ่งมีร้านอาหารอยู่สี่ร้าน ตอนแรกหัวหน้าจะกินด้วยแต่เปลี่ยนใจอยากไปทำงานต่อให้เสร็จก่อน ผมกับน้องอีกคนเลยไปลองร้านที่ชื่อว่า Zen ซึ่งมีทั้งอาหารจีน ญี่ปุ่น และไทย ลองกินซาชิมิและซูชิที่นี่ดู พอดีช่วงสั่งอาหารผมโทร.คุยกับแฟนอยู่เลยให้น้อง HR เขาสั่งให้ อีท่าไหนไม่รู้ได้ไข่ปลามาเต็มเลย ได้กินเนื้อปลาไหลเล็กๆ แห้งๆ แค่สองชิ้น สรุปไม่ประทับใจเท่าไหร่ โดยเฉพาะตอนบิลมาเพราะตกหัวละ 2500 บาทแน่ะ
อ้อ อีกอย่างที่น่าสนใจคือโต๊ะนั่งสองคนที่นี่จะยาวๆ นั่งครั้งแรกแล้วดูห่างเหิน แต่พอนั่งไปซักพักก็เข้าใจว่าที่มันต้องยาวเพราะต้องใช้พื้นที่วางอาหารเยอะ (จานเขาใหญ่แต่อาหารน้อยนะครับ!) และผมว่าโต๊ะเขามันแคบว่าโต๊ะที่เมืองไทยด้วย เลยดูยาวผิดปกติ
ทานข้าวเสร็จสามทุ่มครึ่งก็นัดกันมานั่งทำงานกันต่อ มีคนจีนมาช่วยทำด้วย สงสารเขาเหมือนกันเพราะเพิ่งบินจากปักกิ่งผ่านฮ่องกงและมาถึงโรงแรมเมื่อเช้านี้ตอนตี 3 ยังไม่ทันได้นอนก็ต้องมาทำเวิร์คช็อปเลย ทานข้าวเสร็จยังพอช่วยกันเตรียมพรีเซ้นต์ถึงห้าทุ่ม ถือว่าอึดมากๆ
วันนี้ (6 ส.ค.) ถือเป็นวันสุดท้ายของเวิร์คช็อปแล้ว น่าจะเสร็จไม่เกินห้าโมงเย็น จากนั้นต้องตุหรัดตุเหร่ซักพักก่อนจะไปที่สนามบินเพื่อเตรียมออกเดินทางตอนเที่ยงคืนครึ่ง น่าจะได้เก็บภาพอะไรมาพอสมควร ถึงเมืองไทยวันศุกร์แล้วจะมาเล่าให้ฟังนะครับ

ถนนที่นี่จะต้นไม้เยอะพอดู

โรงแรมมีเครื่องเอ๊กซ์เรย์ด้วย

โต๊ะห่างเหิน

นึกว่าสั่งเนื้อปลาแซลมอนได้แต่ไข่ปลาๆๆๆ
