ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยเข้าฟิตเนส ทำไมคนญี่ปุ่นถึงไม่อ้วน

ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ญี่ปุ่นมีค่าเฉลี่ยของคนอ้วนต่ำที่สุด คือเพียง 4.3% (อเมริกามีคนอ้วนมากกว่า 30%)

แต่สำหรับใครที่เคยไปญี่ปุ่น อาจจะพอสังเกตว่าคนญี่ปุ่นไม่ได้คลั่งไคล้การเข้าฟิตเนสหรือการออกกำลังกาย เผลอๆ อาจจะสนใจน้อยกว่าคนไทยด้วยซ้ำไป

Rakuten เคยสำรวจความคิดเห็นคนญี่ปุ่นจำนวน 1,000 คนที่อายุระหว่าง 20-60 ปี ประมาณครึ่งหนึ่งตอบว่าพวกเขาออกกำลังกายแค่เดือนละหนึ่งครั้งหรือไม่ได้ออกเลยด้วยซ้ำ โดยให้เหตุผลว่าไม่มีเวลา ไม่ชอบการออกกำลังกาย และไม่มองว่าการออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของ lifestyle

การที่คนญี่ปุ่นหุ่นดีนั้น หนึ่งในเหตุผลที่เรามักจะนึกถึงเป็นอย่างแรกก็น่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน ที่คนญี่ปุ่นกินปลาและกินผักกันเยอะ

แต่ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญมาก นั่นก็คือการเดินครับ

คนญี่ปุ่นเดินเฉลี่ยวันละ 6500 ก้าว และถ้าเป็นผู้ชายญี่ปุ่นในวัย 20-50 ปีจะเดินถึงวันละ 8000 ก้าว ชาวโอกินาว่าซึ่งขึ้นชื่อว่าอายุยืนมากก็เดินเป็นกิจวัตร

จังหวัดนากาโน่ (Nagano) เคยมีอัตราผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองแตกสูงที่สุดในประเทศ จนทางการต้องออกมารณรงค์ให้บริโภคเกลือน้อยลง (ชาวนากาโน่บริโภคเกลือวันละ 15 กรัมซึ่งมากกว่าค่ามาตรฐานถึงสามเท่า)

แต่อีกสิ่งหนึ่งที่จังหวัดนี้ทำก็คือการรณรงค์ให้คนเดินมากขึ้น โดยเมือง Matsumoto ซึ่งอยู่ในจังหวัดนากาโน่มีทางเดินมากถึง 100 เส้นทาง (routes) และอาสาสมัครก็มักจะนัดหมายชาวบ้านออกมาเดินชมเมืองด้วยกัน

ผู้ว่าเมืองมัตสึโมโตะ ซึ่งเคยเป็นศัลยแพทย์กล่าวไว้ว่า

“The first thing we wanted was just to get people walking. Everyone can do that. You walk, you talk, you get exercise and that helps build up a sense of community,”

“สิ่งแรกที่เราต้องการคือทำให้คนออกมาเดิน ซึ่งเป็นเรื่องที่ใครก็ทำได้ คุณเดิน คุณคุย คุณได้ออกกำลังกาย และนั่นคือวิธีที่เราสร้างความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งชุมชนนี้”

เนื่องจากผังเมืองในญี่ปุ่นนั้นเหมาะแก่การเดินอยู่แล้ว แถมขนส่งมวลชนก็มีประสิทธิภาพและราคาไม่แพง คนเลยไม่มีความจำเป็นต้องขับรถ เวลาคนญี่ปุ่นไปทำงานก็เดิน ไปซื้อกับข้าวก็เดิน ไปช็อปปิ้งก็เดิน ไปดินเนอร์ก็เดิน การเดินจึงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไม่ต่างอะไรกับการหายใจ

มองกลับมาที่เมืองไทย การเดินให้เป็นกิจวัตรอาจเป็นเรื่องลำบากกว่าในญี่ปุ่นอยู่บ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้เสียเลย

ใครที่อยากจะมีสุขภาพที่ดี แต่ไม่ได้มีแรงใจที่จะเข้าฟิตเนสทุกวัน ลองหาโอกาสให้ตัวเองได้เดินมากขึ้น ก็อาจจะเป็นทางเลือกที่เวิร์คและยั่งยืนก็ได้นะครับ


ขอบคุณข้อมูลจาก Kaki Okumura: How Japanese People Stay Fit for Life, Without Ever Visiting a Gy

ฟังร่างกายให้มากขึ้น ฟังกิเลสให้น้อยลง

20200115b

เพราะคนเรามักทำตรงกันข้าม

เราเชื่อฟังกิเลสมาก อยากดูต้องได้ดู อยากกินต้องได้กิน อยากซื้อต้องได้ซื้อ

แค่ความอยากสะกิดนิดเดียวเราก็เตลิดไปไกลได้อย่างไม่น่าเชื่อ

แต่กับร่างกาย ซึ่งเรามีเพียงร่างเดียวในชีวิตนี้ เขาสะกิดเรากี่ทีเรากลับเฉย

เราจึงเป็นโรคกระเพาะ เป็นออฟฟิศซินโดรม เป็นโรคเครียดและเป็นอะไรอีกหลายๆ โรคที่ไม่ได้เกิดจากความโชคร้าย แต่เกิดจากความละเลยที่จะใส่ใจสัญญาณจากร่างกาย

ยิ่งถ้าใครอายุถึงเลข 3 ยิ่งควรฟังร่างกายให้มากขึ้น ถ้าปวดฉี่ก็ไปเข้าห้องน้ำ ถ้าหิวก็กิน ถ้าอิ่มแล้วก็ไม่ต้องกินต่อแม้ว่ามันจะเป็นบุฟเฟ่ต์ ถ้าเมื่อยก็ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย ถ้าง่วงก็นอน

ในทางกลับกัน กิเลสส่งสัญญาณอะไรมา ถ้าเราฝืนสักหน่อย รั้งตัวเองสักนิด ก็จะเป็นการทรมานกิเลส ทรมานบ่อยครั้งเข้ามันก็จะอ่อนแรงไปเอง

อย่าปล่อยให้กิเลส take over ชีวิตเราครับ

—–

Time Management Workshop รุ่นที่ 15 เช้าวันเสาร์ที่ 22 ก.พ. เหลือ 8 ที่นั่ง ดูรายละเอียดได้ที่นี่ครับ bit.ly/time22feb20

นอนน้อยไป นั่งมากไป

20191216

สมัย 50-60 ปีที่แล้ว การสูบบุหรี่ถือเป็นเรื่องเท่ เราเห็นพระเอกนางเอกสูบบุหรี่กันในหนังเป็นเรื่องปกติ ขนาดคุณหมอที่ควรจะรักสุขภาพยังสูบบุหรี่จนมีคำโปรยโฆษณาอย่าง Most doctors smoke Camels than any other cigarettes – คุณหมอเลือกสูบบุหรี่ยี่ห้อ Camel มากกว่ายี่ห้ออื่นๆ

แต่สมัยนี้เรารู้แล้วว่าการสูบบุหรี่นั้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ร้ายแรงแค่ไหน

ผมคิดว่ามีภัยอีกสองอย่างที่มีความคล้ายคลึงกับการสูบบุหรี่ นั่นคือการนอนน้อยเกินไป และการนั่งมากเกินไป

คนสมัยนี้คิดว่าการนอนน้อยเป็นเรื่องเท่ ใครทำงานแบบไม่หลับไม่นอนคือคนที่มี passion ทุ่มเทกับการงาน เวลาใครพูดว่าเขานอนแค่คืนละ 5 ชั่วโมง แม้จะบ่นเหนื่อยแต่ก็มีความภูมิใจซ่อนอยู่ในนั้น

Matthew Walker ผู้เขียนหนังสือ Why We Sleep ซึ่งเป็นหนังสือที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ผมได้อ่านในปีนี้ เชื่อว่าในอนาคตอันใกล้ คนจะเข้าใจเรื่องภัยของการนอนหลับไม่พอ เหมือนกับที่เราเข้าใจภัยของการสูบบุหรี่ในวันนี้ และวันนั้นการนอนน้อยจะไม่ใช่เรื่องที่เท่เรื่องคูลอีกต่อไป

การนั่งอยู่กับที่ก็เหมือนกัน แม้จะไม่ได้รู้สึกว่าเท่ แต่คนก็ไม่ได้เข้าใจเท่าที่ควรว่ามันมีผลเสียอะไรบ้าง จนเริ่มมีงานวิจัยและหนังสืออย่าง “นั่งนาน = ตายเร็ว” ของผศ.ดร.สันทนี เครือขอน ที่ออกมาเตือน และฝรั่งก็เริ่มมีคำพูดประมาณว่า “Sitting is the new smoking.”

ลองมาคิดดูดีๆ เราก็นั่งกันเยอะมากจริงๆ โดยเฉพาะคนที่ขับรถมาทำงาน นั่งรถเสร็จก็มานั่งที่โต๊ะทำงาน พักเที่ยงก็นั่งกินข้าวที่โต๊ะ จากนั้นก็กลับมานั่งที่โต๊ะทำงานต่อ ตอนเย็นขับรถกลับบ้าน ถึงบ้านก็นั่งทานอาหารที่โต๊ะ จากนั้นก็นั่งดูทีวี สุดท้ายเราอาจจะนั่งกันวันละ 16 ชั่วโมง ได้ยืนหรือเดินกันไม่ถึง 1 ชั่วโมงด้วยซ้ำ บรรพบุรุษของ Homo Sapiens ไม่ได้นั่งกันเยอะขนาดนี้แน่ๆ ดังนั้นสรีสระของมนุษย์จึงไม่ได้วิวัฒนาการมาเพื่อตอบโจทย์นี้

นอนน้อยไป นั่งมากไป

มาเพิ่มการนอน และลดการนั่งกันเถอะนะครับ

ออกกำลังกายวันละ 7 นาที

20190401_7minuteworkout

เดือนที่ผ่านมา นิสัยหนึ่งที่ผมลองทำแล้วเวิร์คมากคือ 7-minute workout

ผมได้ไอเดียนี้จากหนังสือ Make Time ของ Jake Knapp และ John Zeratsky ซึ่งเป็นอดีตพนักงานของ Google และเคยเขียนหนังสือชื่อ Sprint มาแล้ว

มีงานวิจัยหลายชิ้นที่พบว่าการออกกำลังกายแบบสั้นๆ และหนักหน่วงประมาณหนึ่งนั้น ให้ผลลัพธ์เกือบเทียบเท่าหรืออาจจะดีกว่าการออกกำลังกายแบบเรื่อยๆ แต่นานๆ เสียอีก

และหนึ่งในการออกกำลังกายที่ตกอยู่ในจำพวกนี้ก็คือ 7-minute workout นั่นเอง

หลักการคือออกกำลังกาย 12 ท่า ท่าละ 30 วินาที สลับกับพักเบรค 10 วินาที ดังต่อไปนี้

Jumping Jacks – กระโดดตบ
Wall sit –  นั่งยองๆ งอเข่า 90 องศา หลังชิดผนัง
Push-ups – วิดพื้น
Abdominal crunches – คล้ายๆ ซิตอัพแต่ยื่นแขนไปข้างหน้า
Chair step-ups – เดินขึ้น-ลงเก้าอี้
Squats – สคว้อท
Chair tricep dips – หันหลังวิดเก้าอี้
Plank – แพลงค์
High kness running in place – วิ่งอยู่กับที่ยกเข่าสูง
Lunges – ก้าวไปข้างหน้า แล้วงอเข่าหน้าย่อตัวลง
Push-ups with rotations – วิดพื้นหมุนตัว
Side plank – แพลงค์สีข้าง

เปิด Youtube นี้แล้วลองเล่นตามได้เลยครับ

สิ่งที่ทำให้ผมติดใจมีสามอย่าง

หนึ่งคือมันทำที่บ้านได้เลย แทบไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไร

สองคือมันใช้เวลาแค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น 12 ท่า x 30 วิ บวกเบรคแล้วคือ 7 นาที 50 วินาที

สาม – และข้อนี้เจ๋งที่สุด – คือวันไหนที่ได้ทำ วันนั้นผมจะทำงานได้ทั้งวันโดยไม่รู้สึกหมดแรงตอนหมดวัน

ทั้งฟรี ทั้งเร็ว ทั้งเห็นผลลัพธ์ชัดเจน เลยอยากนำมาแชร์ให้คุณผู้อ่าน Anontawong’s Musings ไปลองเล่นดูครับ

—–

เปิดรับสมัคร Writing Workshop รุ่นที่ 3 เรียนวันเสาร์ที่ 20 เมษายน 9:00-12:00 อ่านรายละเอียดได้ที่ https://anontawong.com/2017/12/03/writing-workshop (เหลือ 6 ที่)

ฟังร่างกายตอนที่มันยังกระซิบ

20180625_body

ร่างกายเป็นสมบัติที่มีค่ามากที่สุดของเรา แต่เรากลับดูแลมันได้แย่กว่าที่เราดูแลงานหรือดูแลสมบัตินอกกาย

ความเจ็บป่วยหลายอย่างจึงเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่เราควรจะหลีกเลี่ยงได้

เป็น office sysndrome เพราะเอาแต่ก้มมองจอแล็ปท็อปทั้งๆ ที่จริงๆ ควรใช้จอมอนิเตอร์และนั่งให้ถูกท่า

เป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เพราะปวดแล้วไม่ยอมเดินไปเข้าห้องน้ำ

หลับยากหรือหลับไม่เคยเต็มอิ่ม เพราะนอนไถมือถือจนดึกดื่น

อาการเจ็บป่วยส่วนใหญ่มักจะปรากฎตัวอย่างช้าๆ และร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนเราแต่เนิ่นๆ ทุกครั้ง

ถ้าเราใส่ใจพอที่จะฟังร่างกายตอนที่มันกระซิบบอกเราว่า “เธอๆ ชั้นเริ่มไม่โอเคแล้วนะ” อะไรๆ ก็ยังพอแก้ไขได้ทัน

แต่ถ้าเรามัวชะล่าใจ วันไหนที่มันร้องตะโกนว่า “กูไม่ไหวแล้วโว้ย!” อะไรๆ ก็อาจกู่ไม่กลับแล้วก็ได้

—–

รับบทความจาก Anontawong’s Musings ทางอีเมลได้ทุกวัน เพียงไปที่เว็บไซต์  https://anontawong.com/2018/06/26/body-whisper/  แล้ว scroll down ไปจนเจอช่อง Enter your email adress กรอกอีเมลที่ใช่ แล้วกดปุ่ม Follow สีดำ (ถ้าเปิดจากคอมพิวเตอร์ ช่องกรอกอีเมลจะอยู่ฝั่งขวา)