คำที่ทำลายศักยภาพเราได้มากที่สุด ไม่ใช่คำว่า “ทำไม่ได้” หรือ “ไม่ไหวแล้ว”

ในบทความตอนที่แล้ว ผมกล่าวถึงอาจารย์ Graham Weaver ที่พูดให้กับนักศึกษา Stanford ในหัวข้อ Last Lecture Series: How to Live Your Life at Full Power

Weaver บอกว่าให้ระวังเสียงในหัวของเราให้ดี เพราะมันขี้กลัวและมักจะล่อหลอกให้เราไม่เลือกเส้นทางที่จะเปิดโอกาสให้เราได้บรรลุศักยภาพของตัวเอง

ในชีวิตการสอนหนังสือ 22 ปี Weaver ไม่เคยพบนักศึกษาคนไหนเลยที่เดินมาบอกเขาว่า “อาจารย์ครับ ผมมีความฝันเรื่องหนึ่งที่ผมตื่นเต้นและอยากทำให้สำเร็จ แต่ผมคงทำไม่ได้ ผมเลยจะขอยอมแพ้ตั้งแต่ตอนนี้เลยครับ”

นักศึกษาทุกคนที่ Weaver ได้คุยด้วยล้วนมีความฝัน และคิดว่าตัวเองสามารถทำสำเร็จได้ทั้งนั้น

แต่ก็ใช่ว่านักศึกษาทุกคนจะเลือกเส้นทางที่ฝันเอาไว้ ไม่ใช่เพราะคิดว่าทำไม่ได้หรือยอมแพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้ง

คำที่ดับความฝันได้บ่อยสุดก็คือคำว่า “Not now” ที่แปลว่า “ยังไม่ใช่ตอนนี้” หรือ “เอาไว้ก่อน”

ตอนที่ Weaver อยากเปลี่ยนสายอาชีพจากการทำธุรกิจมาสอนหนังสือ คลาสแรกที่เขาได้โอกาสสอน เขาสอนได้แย่มาก

หลังจากจบคลาสนั้น เสียงในหัวของ Weaver ไม่ได้พูดว่า “เกรแฮม นายไม่มีวันที่จะเป็นอาจารย์ได้หรอก”

แต่มันบอกกับเขาว่า “เกรแฮม นายควรออกไปหาประสบการณ์ก่อนอีกสัก 20 ปี จะได้มีความรู้มากขึ้น ถึงตอนนั้นแล้วค่อยกลับมาสอน”

โชคดีที่ Weaver ไม่ได้เชื่อฟังเสียงนั้น และตัดสินใจฝึกฝนและเก็บชั่วโมงบินจนสอนเก่งขึ้นเรื่อยๆ และได้เป็นอาจารย์ประจำคณะของ Stanford Graduate School of Business ในที่สุด

คำที่ทำลายศักยภาพเราได้มากที่สุด จึงไม่ใช่คำว่า “ทำไม่ได้” หรือ “ไม่ไหวแล้ว”

แต่มันคือคำว่า “เอาไว้ก่อน”

ลองย้อนกลับไปดูชีวิตของเราเอง เชื่อว่าหลายคนก็คงเคยบอกตัวเองแบบนี้เหมือนกัน แล้วความฝันบางอย่างก็ถูกกลบฝังด้วยคำว่าเอาไว้ก่อน

ของบางอย่างก็ยังทำตอนนี้ไม่ได้จริงๆ แต่ก็ต้องอย่าลืมว่าความหนุ่มสาวอยู่กับเราได้ไม่นาน – You are not getting any younger.

ในวันที่ยังมีแรงและยังมีปัญญา เราอาจต้องหยุดพูดว่า “เอาไว้ก่อน” กับเรื่องบางเรื่องครับ

เราชอบคิดว่าเราไม่มีทางเลือก

พอโตเป็นผู้ใหญ่ ประสบการณ์มักจะหล่อหลอมและแช่แข็งให้เรามีชุดความเชื่อว่า สิ่งนี้ทำได้-สิ่งนั้นทำไม่ได้

เมื่อคิดว่ารู้คำตอบอยู่แล้ว เราจึงเลิกตั้งคำถาม

พอปิดกั้นความเป็นไปได้ใหม่ๆ แต่ละวันจึงตายตัวและวนลูป

หากเราไม่โอเคกับสภาพที่เป็นอยู่ สิ่งที่ควรถามก็คือ “เราอยากใช้ชีวิตแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน?”

ถ้าคำตอบคือ “ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ตลอดไป” นั่นคือสัญญาณว่าเราควรทำอะไรต่างไปจากเดิม

แล้วเสียงในหัวก็จะเถึยงขึ้นมาอีกว่า ก็มันเลือกไม่ได้นี่

จริงๆ แล้วเราสามารถเลือกได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องครอบครัว เรื่องความรัก ที่คิดว่าเราเลือกไม่ได้ เพราะเรากลัวผลลัพธ์ที่จะตามมา

สมมติว่างานปัจจุบันนั้นไร้ความสุขและไร้อนาคต แต่เราก็ไม่ยอมเปลี่ยนงาน เพราะว่ามีภาระต้องดูแล เราจึงบอกว่าไม่มีทางเลือก แต่แท้จริงแล้วเราเลือกที่จะเปลี่ยนงานได้ถ้าเราพร้อมรับความเสี่ยง เช่นงานใหม่ไม่เวิร์ค ได้เงินน้อยกว่าเดิม ไม่ได้มีหน้ามีตาเท่าเดิม ไม่สามารถดูแลคนที่เรารักได้ดีเหมือนแต่ก่อน

แน่นอนว่าไม่ได้ง่าย แต่ในทางปฏิบัตินั้นเป็นไปได้ถ้าเราพร้อมเผชิญหน้ากับมัน

โจทย์จึงไม่ได้อยู่ที่เราขาดแคลนทางเลือก โจทย์อยู่ที่เราขาดแคลนความกล้า

เมื่อเรานิยามโจทย์เสียใหม่ ความเป็นไปได้ก็เปิดกว้าง เราจะเริ่มตั้งคำถามและมองหาทางออก แทนที่จะพร่ำบอกตัวเองว่ามันคือทางตัน

คิดให้ดี คิดให้ถี่ถ้วน แล้วถ้าสุดท้ายได้ข้อสรุปเหมือนเดิมก็ไม่เห็นเป็นไร โลกกำลังหมุนไว เดือนหน้ากลับมาคิดใหม่ก็อาจได้ข้อสรุปที่แตกต่าง

เราชอบคิดว่าเราไม่มีทางเลือก

แต่ถ้าเรากล้าตั้งคำถาม และกล้าเผชิญผลลัพธ์ที่ตามมา เราจะรู้ตัวว่าเรามีทางเลือกเสมอครับ

ปราบมังกรตั้งแต่ตอนที่มันยังแบเบาะ

มังกรนั้นมีความหมายที่แตกต่างไปในแต่ละวัฒนธรรม

สำหรับคนจีน มังกรเป็นสัญลักษณ์ที่นำมาซึ่งความสุขและความอุดมสมบูรณ์

แต่สำหรับฝรั่ง มังกรมักเป็นสัญลักษณ์ของสัตว์ดุร้ายที่คอยเฝ้าองค์หญิงหรือสมบัติไม่ยอมให้ใครมากล้ำกราย มีเพียงอัศวินผู้กล้าหาญเท่านั้นที่จะปราบมังกรที่ดุร้ายนี้ได้

ในบทความนี้จะมองมังกรตามความหมายของฝรั่ง

ชีวิตเรามีมังกรอยู่เต็มไปหมด ขึ้นอยู่กับว่าเราจะออกไปตามหามันถึงในถ้ำแล้วปราบมันหรือไม่ ซึ่งถ้าโชคดี เราอาจจะไปเจอตอนมังกรตอนที่มันยังเล็กและไม่มีพิษสงมากมายนัก เราจึงสามารถจัดการมันได้โดยง่ายดาย

แต่ถ้าเรามัวแต่กลัวมังกร ไม่กล้าเข้าไปในถ้ำ แล้วหวังลมๆ แล้งๆ ว่ามังกรจะจากไปเอง วันหนึ่งมันอาจจะกลับมาไล่ล่าเราก็ได้

คอเลสเตอรอลที่สูงเกิน 200 ความสัมพันธ์ที่เริ่มมีรอยร้าว หนี้บัตรเครดิต เหล่านี้ล้วนเป็นมังกรวัยกระเตาะที่รอให้เราเข้าไปจัดการ

แต่ถ้าเราไม่ใส่ใจหรือขาดความกล้า รีรอจนมังกรเหล่านี้โตเต็มวัยจนบินได้-พ่นไฟได้ วันหนึ่งเราอาจจะไขมันพอกตับ เราอาจมองหน้าไม่ติดกับคนที่สำคัญที่สุด หรือเราอาจต้องจ่ายดอกเบี้ยบัตรเครดิตแพงกว่าเงินต้นเสียอีก

จงปราบมังกรตั้งแต่ตอนที่มันยังแบเบาะกันดีกว่าครับ

จะมีความสุขได้ ต้องมีความกล้าเสียก่อน

“The secret of happiness is freedom, and the secret of freedom is courage.”
-Thucydides

หลายคนถูกขังอยู่ในกรงที่เราลงกลอนไว้เอง

เมื่อเคยชินกับ comfort zone การออกไปข้างนอกกรงจึงดูอันตราย

เบื่องานที่ทำอยู่เต็มที แต่ไม่กล้าเปลี่ยนสายงาน

เบื่อคนที่คบอยู่เต็มที แต่ไม่กล้าบอกเขาตรงๆ

เบื่อตัวเองเต็มที แต่ไม่กล้าลุกขึ้นมาทำอะไร

เมื่อไม่มีความกล้า ก็เลยไร้ซึ่งทางเลือก เมื่อเลือกไม่ได้จึงต้องติดหล่มกับสิ่งที่ตัวเราในอดีตได้ทำเอาไว้

แต่หากเราเพิ่มความกล้าขึ้นอีกนิด เสี่ยงขึ้นอีกหน่อย บอกตัวเองว่าถ้าพลาดก็ไม่เป็นไร ยังไงเราคงเอาตัวรอดได้

เราก็จะได้พบหนทางใหม่ๆ ที่นำพาไปสู่วิถีชีวิตที่สอดคล้องกับความเชื่อและตัวตนของเรายิ่งขึ้น และช่วยให้เรามีโอกาสจะพึงพอใจกับชีวิตมากกว่าเดิม

จะมีความสุขได้ต้องมีความกล้าเสียก่อนครับ

คนที่ชอบบอกตัวเองว่าขอศึกษามากกว่านี้ก่อน

บางทีเขาอาจกำลังหลบซ่อนอยู่ก็ได้

กับหลายสิ่งหลายอย่าง เราสามารถลงมือทำและเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน ไม่จำเป็นต้องศึกษาให้ถี่ถ้วนก่อนแล้วค่อยลงมือ

เพราะถึงศึกษามาดีแค่ไหน ยังไงโลกแห่งความจริงมันก็ไม่เหมือนในในตำราอยู่ดี

จริงๆ แล้วถ้าอยากศึกษาให้ถ่องแท้ วิธีที่ดีที่สุดคือลงมือทำ เพราะมันจะเข้าใจและขึ้นใจกว่าการอ่านในหนังสือหรือในเว็บบอร์ดมากมายนัก

“We often avoid taking action because we think “I need to learn more,” but the best way to learn is often by taking action.”
-James Clear

อยากเป็นบล็อกเกอร์ก็แค่ลงมือเขียนบทความลงในเฟซตัวเอง

อยากเป็นนักลงทุนก็แค่เปิดพอร์ตแล้วลองซื้อหุ้นที่เรารู้จัก

อยากทำธุรกิจก็แค่ลองเสนอสิ่งที่เราถนัดให้กับเพื่อนฟรีๆ และดูผลตอบรับ

แทบทุกอย่างเราสามารถลงมือทำโดยจำกัดความเสี่ยงได้ทั้งนั้น

อาจจะยังไม่สำเร็จในเชิงตัวเลข แต่ที่แน่ๆ เราได้ออกมาเผชิญกับความกลัวของตัวเอง

และผลตอบแทนคือคำตอบที่ชัดเจน ซึ่งอาจเป็นคำตอบที่เราอยากเห็นหรือไม่อยากเห็นก็ได้

แต่มันจะมีประโยชน์กว่าสิ่งที่เราเจอจากตำราแน่นอน