3 เหตุผลที่เราไม่ควรย้ายงานบ่อยๆ

ข้อเสียของการเปลี่ยนงานบ่อยๆ ที่ทุกคนน่าจะรู้กันดี คือมันทำให้เราเป็น job hopper ดูเป็นคนไม่ค่อยมีความอดทน และไม่เคยได้อยู่ที่ไหนนานพอจนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งส่งผลให้ไม่เคยได้รับการโปรโมตที่ไหนเลย ได้ปรับตำแหน่งตอนย้ายงานเท่านั้น

ผมมาขอเขียนเพิ่มอีก 3 เหตุผลที่อาจจะยังไม่ค่อยถูกพูดถึงมากนัก เพื่อให้เราเห็นภาพชัดขึ้นก่อนตัดสินใจเรื่องสำคัญแบบนี้ครับ


ข้อ 1 เราต้องเริ่มพิสูจน์ตัวเองใหม่

เมื่อเราย้ายไปที่ทำงานใหม่ ต้องทำงานกับหัวหน้าใหม่ กับเพื่อนร่วมงานที่ไม่เคยรู้จักเรามาก่อน บางคนอาจจะตั้งคำถามในความสามารถของเรา ยิ่งถ้าเราประสบการณ์น้อยกว่าแต่ต้องมาคุมทีมที่เต็มไปด้วยคนที่อยู่มานานกว่า ก็ยิ่งต้องเหนื่อยกับการพิสูจน์ตัวเอง ต้องทำงานหนักกว่าปกติเพื่อสร้างการยอมรับ

การที่ต้องคอยพิสูจน์ตัวเองทุกหนึ่งหรือสองปีจึงไม่ใช่เรื่องสนุก น้องคนหนึ่งที่เคยย้ายงานสองครั้งภายในหนึ่งปีเคยบอกผมว่า ตอนนี้อยากหางานที่ทำแล้วอยู่ได้ยาวๆ ไม่อยากต้องมาเหนื่อยกับการพิสูจน์ตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าอีกต่อไป


ข้อ 2 เราไม่มีโอกาสสร้างความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นพอ

ทุกวันนี้คนกลัวว่า AI จะมาแย่งงาน เพราะ AI เริ่มทำงานแทนเด็กจบใหม่ได้แล้ว

เราเองก็น่าจะเริ่มคุยกับ AI มากขึ้นเรื่อยๆ มีอะไรไม่รู้หรือไม่แน่ใจก็ถาม AI ไว้ก่อน จนน่าคิดว่าในอนาคตจะยังมีเรื่องไหนที่คนยังเชื่อตัวเองมากกว่า AI อยู่หรือไม่

สำหรับผม คงจะมีคำถามหนึ่งที่ผมจะเลือกเชื่อตัวเองมากกว่า AI

คำถามนั้นก็คือ “ผมควรจะชวนใครมาทำงานด้วย?”

คำถามนี้ยากเกินกว่าที่ AI จะตอบในหลายมิติ

หนึ่ง เพราะ AI ปัจจุบันเป็น Large Language Model ที่ต้องอ่านข้อมูลมหาศาล ในอินเทอร์เน็ตและในสื่อต่างๆ

แต่ข้อมูลที่ว่าใครเป็นคนทำงานที่เก่งนั้น ไม่ได้ถูกบันทึกอยู่ในสื่อประเภทใด มันถูกบันทึกอยู่ในความทรงจำของคนที่เคยทำงานด้วย ซึ่งความทรงจำเหล่านี้เป็นสิ่งที่ LLM ยังเข้าไม่ถึง

สอง แน่นอนว่า AI อาจจะเข้าไปอ่านโปรไฟล์ออนไลน์ของคนคนหนึ่งได้ และบอกได้ว่าเขาคนนี้เป็นคนเก่งแค่ไหน แต่การเป็นคนเก่งอย่างเดียวไม่ได้แปลว่าเขาจะทำงานกับเราได้ดี มันยังมีอีกหลายปัจจัยเช่นนิสัยใจคอ ความเชื่อและทัศนคติที่ตรงกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ AI ไม่สามารถตอบแทนเราได้

และสาม เวลาเราเลือกคนไปทำงาน เราไม่ได้เลือกแค่ความเก่งหรือความเข้ากันได้ แต่เราเลือกเพราะว่าเขาเป็นคนที่ “ใช้ได้” ด้วย

ใช้ได้ในความหมายที่ว่าเป็นคนน่ารัก จิตใจดี วางใจได้ ซึ่งของแบบนี้รู้สึกได้ผ่านประสบการณ์ตรงที่ได้ทำงานด้วยกันและได้ใช้ชีวิตนอกเวลางานด้วยกันเท่านั้น

เมื่อเราอายุมากขึ้น ตำแหน่งสูงขึ้น งานดีๆ ไม่อาจได้มาด้วยการร่อนใบสมัครแล้วภาวนาว่าจะมีใครสักคนมาสนใจเรา

เมื่อถึงจุดหนึ่งของชีวิต งานที่ดีจะมาจากการแนะนำปากต่อปาก ว่าคนนี้ทำงานโอเค คนนี้เคยล่มหัวจมท้ายมาด้วยกัน มันคือความสัมพันธ์ที่ก่อเกิดเมื่อเราใช้เวลาอยู่กับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า หรือผู้บริหารบางคนได้นานพอเท่านั้น

แต่ถ้าเราเปลี่ยนงานทุกปีหรือทุกสองปี โอกาสที่เราจะสร้างความสัมพันธ์และความไว้ใจให้มากพอที่เขาจะคิดถึงเราในอนาคตย่อมเกิดขึ้นได้ไม่ง่ายนัก


ข้อ 3 คุณค่าทางธุรกิจที่เกิดจากความไว้ใจจะอันตรธานไปเมื่อเราย้ายงาน

เวลาเราไว้ใจกัน อะไรๆ ก็ง่าย แต่พอเราไม่ไว้ใจกัน อะไรๆ ก็ยาก

ผมรู้จักกับหัวหน้าคนปัจจุบันมา 20 ปี เคยทำงานด้วยกันปี 2005-2008 และอีกครั้งตอนปี 2017 ถึงปัจจุบัน

พอรู้จักกันมานาน รู้นิสัยใจคอและสไตล์ ก็ทำให้พอรู้ว่าแต่ละงานเราจะคุยกับเขาอย่างไรให้งานสำเร็จลุล่วง

ดังนั้นการมีหัวหน้าที่ไว้ใจเรา และการมีทีมงานที่ไว้ใจกันจึงเป็นลาภอันประเสริฐ
เมื่อไว้ใจ ทุกอย่างก็สามารถพูดคุยและตกลงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งความเร็วในการตัดสินใจและลงมือทำจนเกิดผลลัพธ์นั้นเป็น competitive advantage ที่หลายคนอาจมองข้าม

ทีมผู้บริหารที่รู้ใจและเชื่อใจกัน ย่อมทำงานได้รวดเร็วและ productive กว่าทีมผู้บริหารที่ไม่ไว้ใจกันเพราะมัวแต่ใช้เวลาไปกับการถกเถียงและการระวังหลัง

ความไว้ใจซึ่งกันและกันในบริษัทจึงเป็น intangible asset หรือทรัพย์สินทางธุรกิจที่จับต้องไม่ได้แต่มีคุณค่าและมูลค่ามหาศาล

คราวนี้ลองคิดภาพว่า คนที่ไว้ใจกันมากต้องมาลาออกไป คุณค่าทางธุรกิจนั้นก็จะหายวับไปกับตา ต่อให้ได้คนใหม่ที่เก่งไม่น้อยกว่าคนเดิม ก็ยังต้องใช้เวลาหลายเดือนหรือกระทั่งหลายปีถึงจะสร้างความคุ้นเคยหรือไว้ใจเท่ากับคนก่อนได้

การย้ายงานจึงเป็นการทำลายคุณค่าทางธุรกิจ เพราะความไว้ใจที่เคยทำให้ทุกอย่างมันเร็วกว่านี้มันหายไปแล้วนั่นเอง


แน่นอนว่าในบางสถานการณ์เราก็ควรจะย้ายงานจริงๆ เช่นโครงสร้างองค์กรหรือสภาพธุรกิจไม่เอื้อให้เราโตไปกว่านี้ หรือเจอสภาพการทำงานที่ทำให้ชีวิตพัง (โดยไม่ลืมสำรวจตัวเองว่าเรามีส่วนทำให้มันพังเองด้วยรึเปล่า) ถ้าคิดมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว การย้ายงานก็อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมก็เป็นได้

แต่ถ้าเราอยู่ในองค์กรที่ดี มีเพื่อนร่วมงานที่ดีและไว้ใจกัน เราก็ควรจะเอาปัจจัยเหล่านั้นมาร่วมพิจารณาก่อนตัดสินใจครับ

จังหวะสวรรค์

น่าสนใจที่คำนี้ไม่ค่อยมีคนใช้ มีแต่ใช้คำที่ความหมายตรงกันข้าม

แต่ผมคิดว่าจะใช้คำว่าจังหวะสวรรค์ให้บ่อยขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่หนังสือ Fluke เริ่มมีคนพูดถึง

สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้อ่านสเตตัสของคุณ นิค Genie – วิเชียร ฤกษ์ไพศาล ที่ปลุกปั้นศิลปินชื่อดังในเครือแกรมมี่มามากมาย:

“บางครั้งพระเจ้าก็ชอบเล่นตลกแบบโหดๆ กับเรา อย่างเรื่องราวของวง Klear ที่กว่าจะมาเป็นศิลปิน genie ก็เป็นอีกกรณีที่ต้องเล่า

ผมได้ยิน demo ของน้องๆ เขาเพราะต้า Paradox นำมาเปิดให้ฟัง

เพียงเพราะวันนั้นต้าไม่มีงานของตัวเองมาส่งตามนัด จึงงัดเพลงของ Klear ที่พกติดตัวตลอดมาเปิดแทน

ซึ่งจริงๆ ก่อนหน้านั้นเกือบไม่มีชื่อ Klear ในวงการแล้ว เพราะหลังสู้มานานความหวังก็ยังริบหรี่ ทุกคนท้อใจจะไม่ไปต่อ ท้อขนาดนัดซ้อมกันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนแยกย้ายบ้านใครบ้านมัน

บังเอิญมาเจอพี่ต้าแกเลยอาสาลงทุนทำอัลบั้มให้ แถมทำเสร็จก็ยังช่วยยื่น demo ไปแทบทุกค่าย แต่…ไม่มีค่ายไหนอ้าแขนตอบรับเลย!

วันที่มาเปิดให้ผมฟัง (ซึ่งน่าจะเป็นค่ายสุดท้าย) ก็น่าจะไม่ได้จริงจังหรือคาดหวังอะไร คงกะแค่เบี่ยงประเด็น

เหมือนนักเรียนไม่ส่งการบ้านแล้วกลัวอาจารย์ดุ…เลยรีบเฉไฉ

แต่ต้าคงงงเป็ด ผมกลับโทรตามให้รีบพาวงมาเซ็นสัญญาทันทีโดยที่ต้าเองก็เพิ่งลากลับยังลงลิฟต์ไปไม่ถึงชั้นล่างด้วยซ้ำ

ผมได้ยินเรื่องราวนี้อีกครั้งจากปากน้องทั้ง 2 บนเวทีคอนเสิร์ตใหญ่ของ Paradox เมื่อเสาร์ที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา

ทำให้นึกย้อนกลับไปถึงอารมณ์ผมในวันนั้น

ผมยังไม่เคยเล่าให้ใครฟัง และถ้าทั้งคู่อ่านเจอ ผมอยากบอกให้รู้ถึงสิ่งที่ผมค้นพบที่ทำให้อยากร่วมงานด้วยขนาดนั้นว่ามันคืออะไร

บอกตรงๆ ผมไม่ได้ยินเพลงที่จะฮิตจะดังใน demo ของอัลบั้มแรกนั้นเลย


แต่ผมได้ยินชัดสัมผัสได้ถึงความตั้งใจ ความมุ่งมั่นและเอาตาย-ใส่สุดของพวกเขา มันจริงจังและจริงใจมากๆ

ทั้งหมดส่งผ่านน้ำเสียงของแพทและดนตรีของพวกเขา ที่มีความออริจินัล หนึ่งเดียวและยังไม่เคยมีงานแบบนี้ในวงการ

ที่สำคัญผมเห็นอนาคตที่สดใสของพวกเขาในอัลบั้มต่อๆไป ถ้าเราได้ทำงานร่วมกัน

ผ่านไปสิบกว่าปี ผมดีใจที่มองไม่ผิดและตัดสินใจถูก

ขอบคุณต้ามากๆ ที่วันนั้นส่งการบ้านไม่ทันนะครับ”


วง Klear ได้รับจังหวะสวรรค์สองครั้ง คือตอนที่ต้า Paradox เห็นแวว กับตอนที่ต้าตัดสินใจยื่นซีดีของวงให้พี่นิคฟัง

เรื่องราวของคนดังๆ ที่เราเกือบจะไม่ได้รู้จักนี้มีมากมายเลยนะครับ อย่างวงบอดี้สแลมก็เกือบจะไม่ได้ออกเทปแล้ว แม้ว่ากบ บิ๊กแอสและทีมงานเขียนเพลงผลักดันเต็มที่ ยังดีที่พี่ตูนตัดสินใจเข้าไปคุยกับพี่เอก ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ที่ตอนนั้นดูแลค่าย Music Bugs ที่บอดี้สแลมสังกัดอยู่ และสุดท้ายพี่เอกก็ยอมให้ออกเทปอัลบั้มแรก (ฟังปากคำจากคุณกบ บิ๊กแอสได้ที่รายการคุยคุ้ยเพลงของป๋าเต็ด นาทีที่ 35)

Morgan Housel เคยเล่าว่าตอนที่เขามีความคิดจะทำหนังสือ The Psychology of Money ไม่มีสำนักพิมพ์ไหนในอเมริกาสนใจจะตีพิมพ์ให้เลย จนเกือบจะท้อใจไปแล้ว แต่โชคดีที่สำนักพิมพ์เล็กๆ ในอังกฤษอย่าง Harriman House สนใจและตีพิมพ์ให้ และปรากฏการณ์ของหนังสือเล่มนี้ก็เปลี่ยนชะตาชีวิตของทั้ง Morgan Housel และ Harriman House ไปแบบไม่หวนกลับ


คุณต้นสน สันติธาร เสถียรไทย เคยเล่าไว้ในหนังสือ ‘Twists and Turns คิดเปลี่ยนในโลกหักมุม‘ ว่า

“บุคคลที่นั่งอยู่หน้าผมคือ ศาสตราจารย์โจเซฟ สติกลิตซ์ (Joseph Stiglitz) ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล เขียนหนังสือขายดีของเดอะนิวยอร์กไทมส์ (The New York Times) และอดีตประธานทีมเศรษฐกิจของธนาคารโลก (World Bank) ซึ่งเขากำลังอ่านงานที่ผมนำเสนอ

หากอาจารย์พอใจ และเขียนจดหมายแนะนำให้ผม โอกาสในการเข้าเรียนปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) ของผมก็จะสูงขึ้นมาก แต่ถ้าอาจารย์เห็นว่าไม่ดี ก็แทบจะเลิกหวังได้เลยกับการสมัครรอบนี้ซึ่งจะเป็นรอบสุดท้ายหลังจากที่ถูกปฏิเสธมาแล้วหลายปีติดกัน

สิ่งที่อาจารย์อ่านอยู่คืองานที่ท่านมอบหมายให้เมื่อประมาณ 2 เดือนก่อน แต่เนื่องจากท่านเดินทางตลอด จึงไม่ได้มีโอกาสคุยกันตั้งแต่ตอนนั้น และนี่คือการพบกันครั้งสุดท้าย เพราะสัญญาจ้างผมกำลังจะหมดลง

“เสียดายที่มันไม่ได้ออกมาอย่างที่ผมคาดไว้” อาจารย์พูดขึ้นมาหลังอ่านจบ ซึ่งผมก็เข้าใจว่าท่านหมายถึงอะไร เพราะงานที่ท่านให้ไว้ดันมาเจอทางตัน และผมเองก็ไม่รู้จะแก้อย่างไร

ท่านพูดอย่างสุภาพว่า “ขอบคุณที่พยายามทำเต็มที่ และขอโทษที่ไม่ค่อยได้มีเวลาให้เท่าที่ควร” ก่อนจะลุกจากโต๊ะอาหารเช้าในร้านคาเฟ่เล็กๆ ในนิวยอร์ก วันนั้นอาจารย์หันมาถามเหมือนตามมารยาทว่า

“แล้วคุณมีอะไรที่ทำไว้และอยากนำเสนออีกไหม?”

ในเสี้ยววินาทีนั้นผมบอกตัวเองว่า เราไม่มีอะไรต้องเสียแล้วและตัดสินใจตอบว่า “มีครับ แต่ไม่แน่ใจมันเกี่ยวกับโจทย์ที่อาจารย์พยายามตอบอยู่หรือไม่”

อาจารย์ให้ผมเปิดให้ดู งานที่ผมทุ่มเทใช้เวลาที่เหลือช่วงที่ติดต่ออาจารย์ไม่ได้ ทำไปโดยพลการโดยคาดเดาว่า นี่น่าจะเป็นโจทย์ที่อาจารย์อยากจะตอบ และวิธีแบบนี้น่าจะตอบคำถามได้ แม้จะต่างกับที่ท่านให้มา เมื่อดูงานดังกล่าวเสร็จ ท่านยิ้มแล้วถาม

“คุณคิดเองเหรอ?”

ท่านบอกว่าแนวทางนี้น่าสนใจมาก และดีกว่าวิธีเดิมเสียอีก จึงชวนให้มาพัฒนาต่อเป็นงานวิจัยปริญญาเอก เสี้ยววินาทีที่ผมตอบอาจารย์ครั้งนั้นเป็นทางแยกสำคัญของชีวิต งานชิ้นนั้นทำให้ผมสมัครเข้าเรียนปริญญาเอกที่ฮาร์วาร์ดสำเร็จ พร้อมช่วยให้ผมได้ทุนการศึกษาของมหาวิทยาลัยถึง 2 ทุน และงานนั้นยังกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกที่ทำให้ผมเรียนจบอีกด้วย”

นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนของจังหวะสวรรค์ ถ้าอาจารย์สติกลิตซ์ไม่ได้เอ่ยคำถาม “แล้วคุณมีอะไรที่ทำไว้และอยากนำเสนออีกไหม?” อนาคตของคุณต้นสนน่าจะหักมุมไปอีกทางแยกหนึ่ง


พูดถึงทางแยกในการงานและวิชาชีพ ผมเลยขอเล่าให้ฟังทางแยกที่ผมเจอเองบ้าง

มีหลายคนถามผมว่า จบวิศวกรรมไฟฟ้าแล้วมาดูทีม HR ได้ยังไง

และผมจะตอบติดตลก (แต่เป็นเรื่องจริง) ทุกครั้งว่า เพราะรู้จักกับเจ้าของ

ถอยกลับไปเมื่อปี 2005 ผมทำงานอยู่บริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่ง ในตำแหน่ง developer

งานสาย software development ที่บริษัทจะแบ่งเป็นสามทีมใหญ่ๆ คือ Dev/QA/Support

Dev = developer พัฒนาซอฟต์แวร์

QA = quality assurance เทสต์ซอฟต์แวร์ว่าได้คุณภาพตามมาตรฐาน

Support = ดูแลปัญหาที่ลูกค้าส่งเข้ามา โดย support ก็มีหลายเลเวล เราอยู่เลเวลสุดท้าย ถ้าเราแก้ไม่ได้ก็ไม่มีใครแก้ได้แล้ว

ขณะนั้นผมทำงาน dev มาได้สองปีกว่า แต่รู้ตัวว่าน่าจะเป็น dev ได้แค่ระดับกลางๆ เพราะพื้นฐานน้อย พอ “ซุปปี้” เพื่อนที่เป็น support manager มาชวนไปทำงานสาย support ผมก็เลยตกปากรับคำ สัมภาษณ์เสร็จสรรพ และเตรียมจะย้ายไปดูโปรดักต์ที่เป็นส่วนของ API

API = Application Programming Interface เป็น “ภาษา” ที่ทำให้โปรแกรมอื่นๆ คุยกันรู้เรื่อง

สมัยนั้นผมเดินทางกลับบ้านด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีลุมพินี มีวันหนึ่งผมเดินลงไปเจอกับ “เล็ก” ซึ่งเป็นหัวหน้าทีม dev พอเล็กรู้ข่าวว่าผมเตรียมจะไปอยู่ทีม API ที่มี “เบิร์ด” เพิ่งขึ้นมาดูแลทีม เล็กเลยบอกกับผมว่า

“ทีมนี้งานยากมากเลยนะ ต้องรู้โค้ดเยอะๆ เลย ขนาดเบิร์ดซึ่งเทพขนาดนั้น ไปอยู่ทีมนี้แล้วยังผอมเลยนะ”

แล้วเล็กก็ชวนผมว่า ให้มาเป็นซัพพอร์ตทีม VAS (Value Added Services) ดีกว่า เพราะเล็กเพิ่งย้ายมาดูโปรดักต์ใหม่ของทีมนี้ กำลังต้องการทีม support พอดี ซึ่งโปรดักท์นี้งานมันจะไม่ได้เทคนิคคัลเท่างานซัพพอร์ต API

ผมกลับไปนอนคิดอยู่ 1 คืน วันรุ่งขึ้นก็เลยแจ้งซุปปี้ไป ซุปปี้เลยนัดให้ผมคุยกับ “ยอด” ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมซัพพอร์ตของ VAS แล้วยอดก็รับผมเข้าทีม

ปี 2008 ยอดเดินทางไปเรียน MBA ที่อเมริกา กลับมาปี 2010 ยอดก็ชวนเพื่อนๆ มาทำสตาร์ตอัปด้วยกัน ผมเองก็ได้ช่วยอยู่บ้างแต่ไม่ได้ลาออกมาทำเต็มตัว เพราะมองไม่เห็นว่าตัวเองจะช่วยอะไรได้มากนัก

จนกระทั่งปลายปี 2016 ผมออกจากที่ทำงานเดิม และงานที่ใหม่ก็ไม่เป็นไปตามแผน ยอดเลยชวนให้มาดูแลทีม People ซึ่งตอนนั้นมีแค่ 2 คน ดูแลพนักงานร้อยกว่าคน

จากนั้นเป็นต้นมาบริษัทก็เติบโตมาเป็นอย่างดี และผมก็คิดว่าผมได้เจองานที่เหมาะกับตัวเองที่สุดแล้ว

เมื่อมองย้อนกลับไป จังหวะที่ได้เจอเล็กที่สถานีลุมพินีย่อมเป็น “จังหวะสวรรค์” ของผม เพราะถ้าผมไปช้าหรือเร็วกว่านี้แค่ 3 นาที ผมก็จะไม่ได้เจอเล็ก จะได้ไม่ย้ายทีม และไม่ได้รู้จักกับยอดนั่นเอง


แน่นอนว่าแค่จังหวะสวรรค์อย่างเดียวไม่ได้ทำให้สำเร็จ ที่วง Klear มาได้ถึงทุกวันนี้ก็เพราะว่าซ้อมกันมาอย่างหนัก ที่คุณต้นสนได้รับโอกาส ก็เพราะว่าได้ทดลองทำโจทย์โดยที่อาจารย์ไม่ได้ร้องขอ และตัวผมเองก็ต้องเรียนรู้และปรับตัวหลายอย่างมากกว่าจะผ่านช่วงเวลาตรงนั้นมาได้

แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องการโชคช่วยด้วยเช่นกัน มีหลายคนที่ทั้งฉลาด ขยัน ตั้งใจเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่ได้รับจังหวะสวรรค์ที่หวังเอาไว้ เหมือนคำกล่าวของชาวจีนที่ว่า “ความพยายามเป็นเรื่องของมนุษย์ ความสำเร็จเป็นเรื่องของฟ้าดิน”

หน้าที่มนุษย์อย่างเรา จึงเป็นการพยายามต่อไป เหมือนเป็นการเก็บกระเป๋าของเราให้พร้อม รถไฟมาถึงเมื่อไหร่จะได้กระโดดขึ้นรถแล้วออกเดินทาง

เข้าใจว่าหลายคนอาจกำลังเหน็ดเหนื่อยกับชีวิต แต่ขอให้เชื่อเถอะว่า “จังหวะสวรรค์” นั้นมีอยู่ และจะวนเวียนมาหาเราอยู่เรื่อยๆ

ถ้าจังหวะสวรรค์ปรากฏตัวขึ้นเมื่อไหร่ ขอให้เราคว้ามันไว้ให้อยู่มือเลยนะครับ

รีวิวชีวิตหลังอ่าน Fluke ครบ 1 ปี

รีวิวชีวิตหลังอ่าน Fluke ครบ 1 ปี

สัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้ทราบข่าวดีว่าหนังสือ Fluke ของ Brian Klaas ได้รับการตีพิมพ์เป็นภาษาไทยแล้วโดยสำนักพิมพ์ Sophia ในเครืออมรินทร์ ภายใต้ชื่อ ‘Fluke บังเอิญอย่างมีนัยสำคัญ‘ สำนวนแปลของคุณจิตติณี รองหานาม

เป็นโอกาสอันดีที่จะได้เห็นคนไทยได้อ่านหนังสือเล่มนี้กันมากขึ้น ซึ่งผมคิดว่าเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์อันผันผวนของโลกเป็นอย่างยิ่ง

ผมได้อ่าน Fluke ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2024 และเขียนถึงหนังสือเล่มนี้สองเดือนต่อมา โดยยกให้ Fluke เป็นหนังสือเปลี่ยนชีวิตแห่งปี

สำหรับผม หนังสือเปลี่ยนชีวิต คือหนังสือที่อ่านแล้วเปลี่ยนมุมมอง วิธีคิด และการกระทำของเราอย่างจับต้องได้ และบทเรียนต่างๆ จะกลับมาหาเราอยู่เรื่อยๆ แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็น Outlive, Four Thousand Weeks, The Psychology of Money หรือ Sapiens

Fluke ก็ทำงานอย่างนั้นกับผมเช่นกัน โดยหนังสือ Fluke จะมีความคล้าย Sapiens ตรงที่มันช่วยให้เราเข้าใจโลกมากขึ้น แต่ไม่ได้บอกชัดๆ ว่าความรู้ที่ได้มันจะมีประโยชน์อะไรในเชิงปฏิบัติ (practical use) ต้องทอดเวลาให้ผ่านไปพอสมควรเราถึงจะประสบได้ด้วยตัวเองว่าสิ่งที่ซึมซับจากหนังสือแบบนี้มันมีประโยชน์กับเรายังไง

Fluke เป็นหนังสือที่อ่านสนุก แต่ไม่ได้อ่านง่าย แถมการแปลเป็นไทยก็ไม่ง่าย แค่คำที่เป็นคีย์เวิร์ดอย่าง divergence กับ convergence ก็แปลยากมากแล้ว ฉบับภาษาไทยแปลคำว่า divergence เป็น “ดำเนินไปแบบไร้ทิศทาง” และแปล convergence ว่า “มีทิศทางที่จะบรรจบกันในท้ายสุด”

แต่ผมเชื่อว่าถ้าเราใจเย็นๆ และค่อยๆ อ่าน เราจะได้รับคุณค่าบางอย่างที่จะติดตัวเราไปอย่างไม่ต้องสงสัย

และจากนี้ไปคือบางสิ่งที่ผมได้รับจากหนังสือ Fluke: Chance, Chaos and Why Everything We Do Matters ครับ


Experiment More

คำนี้เป็นประโยคติดปากที่ผมพูดกับภรรยาเป็นประจำ และภรรยาก็ทำด้วยเหมือนกัน

ปกติผมเป็นคนที่ไม่ได้เสาะแสวงหาอะไร เป็นคนมีความสุขง่ายๆ กับเรื่องเดิมๆ มีร้านประจำไม่กี่ร้าน และพอไปร้านประจำก็จะสั่งแต่เมนูที่เราชอบ

แต่พออ่าน Fluke ก็เข้าใจว่า กว่าโลกของเราจะมาถึงปัจจุบันนี้ได้ มันผ่านการลองผิดลองถูกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน โดยห้องทดลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คือสิ่งที่เรียกว่าวิวัฒนาการ ที่ใช้หลักการ survival of the fittest ใครอ่อนแอก็แพ้ไป ใครที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมกว่าก็ได้ไปต่อ จนเราวิวัฒนาการจากสัตว์เซลล์เดียวและกลายมาเป็นมนุษย์ที่ขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารได้

ดังนั้น ชีวิตเราจึงไม่ควรหยุดทดลอง โดยเฉพาะการทดลองที่มี limited downside เพราะมันจะเปิดโอกาสให้เราได้เจอประสบการณ์ใหม่ๆ และทำให้เรามีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น

ผมกับแฟนเลยเริ่มลองไปกินร้านใหม่ๆ หรือถ้าไปร้านเดิมก็จะลองสั่งเมนูที่ไม่เคยลอง

ไม่ใช่แค่เรื่องกิน แต่รวมถึงการเลือกอ่านหนังสือด้วย ปีที่แล้วผมอ่านนิยายจบไปสองเล่ม ปีนี้อีกสองเล่ม หลังจากที่ไม่ได้อ่านนิยายมาหลายปี ส่วนภรรยาก็ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำเช่นลงเรียนร้องเพลงและเรียนเปียโน

เรื่องการทำงาน ผมก็ลองขยับน้องในทีมให้ไปทำงานในตำแหน่งที่เขาไม่เคยลอง ทำให้เขาได้พบจุดแข็งใหม่ๆ และความเป็นไปได้อื่นในวิชาชีพของเขา

พอเรามีมายด์เซ็ตที่จะ experiement ไปเรื่อยๆ ข้อเสียคือบางครั้งทดลองแล้วไม่เวิร์ค แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการเรียนรู้และความมีชีวิตชีวา ซึ่งผมคิดว่าสำคัญเหมือนกันสำหรับคนที่มี routine เดิมๆ


Don’t Over-Optimize Your Life. Have Some Slack.

เราอาจบูชา productivity และ effectiveness มากเกินไปนิด พยายามที่จะ optimize ทุกอย่าง เพื่อไม่ให้มีอะไรที่มีมากเกินความจำเป็น

แต่ในโลกที่ผันผวนและ Fluke บางอย่างส่งผลกระทบแบบที่เราคาดไม่ถึง การมี “มากเกินไปหน่อย” ในบางเรื่องก็ถือว่าเป็นการใช้ชีวิตแบบไม่ประมาท

ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของ Morgan Housel ในหนังสือ The Psychology of Money ว่าเขาเชื่อว่าเราควรมีเงินสดมากเกินจำเป็นไปอีกนิดนึง เพื่อที่ว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เราจะได้ใช้เงินสดสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน และจะได้ไม่ต้องไปขายหุ้นเพื่อเอาเงินมาใช้หรือแม้กระทั่งกู้หนี้ยืมสินใครเขา

โลกของเรา optimize ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในแง่นึงมันก็ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความเร็ว แต่ในอีกแง่มันก็เปราะบางมาก

ยกตัวอย่างวิกฤติเรือ Ever Given ของบริษัท Evergreen Marine

วันที่ 23 มีนาคม 2021 เรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ Ever Given ออกจากท่าเรือในจีนและมุ่งหน้าสู่เนเธอร์แลนด์ แต่ระหว่างที่แล่นผ่านคลองสุเอซก็เกิดลมแรงจนเรือสูญเสียการควบคุม หัวเรือไปเกยเข้ากับฝั่ง และกีดขวางเส้นทางของคลองสุเอซอยู่ 6 วัน สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจถึง 54,000 ล้านดอลลาร์

เรือแค่ลำเดียวไม่เคยสร้างความเสียหายระดับนี้ได้มาก่อนในประวัติศาสตร์ แต่ตอนนี้มันก็เกิดขึ้นแล้ว และเหตุผลที่มันเกิดขึ้นได้ก็เพราะเราได้ปรับแต่งโลกให้มีประสิทธิภาพเสียจนไม่มีพื้นที่ว่างให้ความยืดหยุ่นเลย

ปีที่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ CrowdStrike ที่ทำให้เครื่องจอฟ้าไปทั่วโลก ส่วนปีนี้ก็มีเหตุการณ์ไฟฟ้าดับในโปรตุเกส สเปน และฝรั่งเศส ที่โกลาหลกันน่าดู เพราะระบบไฟฟ้าเชื่อมโยงถึงกันหมด ทำให้มี economy of scale แต่พอมีปัญหาก็สร้างความเดือดร้อนเป็นวงกว้าง

ถ้าประเทศที่พัฒนาแล้วยังเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ ประเทศของเราก็มีโอกาสเจอเหตุการณ์ประมาณนี้ได้เช่นกัน

ดังนั้น สิ่งที่เราทำได้เลยก็เช่นการมีเงินสดติดตัวหรือติดบ้านไว้บ้าง เผื่อว่าวันหนึ่งระบบธนาคารมีปัญหา หรือมีวิทยุใส่ถ่านเอาไว้รับข่าวสารในวันที่อินเทอร์เน็ตใช้ไม่ได้

ส่วนในเรื่องการทำงานหรือการใช้วันหยุดสุดสัปดาห์ ก็ระวังอย่าใส่อะไรลงไปในตารางชีวิตจนเต็มเอี้ยด ควรจะมีเวลาอยู่เฉยๆ มีเวลาพักผ่อนเพียงพอ มีพื้นที่ให้ปรับตัวเมื่อเกิดสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง

ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เราควรให้ความสำคัญกับ resiliency มากกว่า optimization


ทุกอย่างเชื่อมโยงกันหมด (โดยไม่ต้องใช้ศรัทธา)

ด้วยวัฒนธรรมตะวันออก เราได้ยินกันมานานว่าทุกอย่างนั้นเชื่อมโยงกัน

แต่สำหรับผมที่ยังไม่ได้ภาวนาหรือมีประสบการณ์จน ‘เห็น’ ได้ด้วยตัวเอง คำว่าทุกอย่างเชื่อมโยงกันนั้นเป็นเพียงสิ่งที่เราจำมาจากตำราและครูบาอาจารย์ เราเข้าใจในเชิงทฤษฎี แต่มันก็เป็นเพียงสุตมยปัญญาที่เราจำเขามาเท่านั้น

ความเจ๋งของหนังสือ Fluke ก็คือมันทำให้เราได้เห็นความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งโดยไม่ต้องมีศรัทธาในพระคัมภีร์หรือพระเถระใดๆ สุตมยปัญญาจึงปรับระดับขึ้นมาเป็นจินตามยปัญญาหรือปัญญาที่เกิดจากการคิดและไตร่ตรองมาดีแล้ว

ในบทความ ‘Fluke หนังสือเปลี่ยนชีวิตแห่งปี 2024‘ ผมเล่าว่าถ้าอุกกาบาตเมื่อ 66 ล้านปีที่แล้วมาถึงช้ากว่านี้แค่นาทีเดียว ไดโนเสาร์ก็อาจจะไม่สูญพันธุ์และเผ่าพันธุ์ Sapiens ก็น่าจะไม่ได้เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้

หรือการมาเที่ยวกันของคู่รักชาวอเมริกันในเมืองเกียวโต ทำให้ชาวเมืองเกียวโตนับแสนคนรอดชีวิตในอีก 19 ปีต่อมา แต่ชาวเมืองฮิโรชิม่ากับนางาซากิสองแสนกว่าคนต้องดับสูญ

เมืองไทยเป็นเมืองพุทธผสมพราหมณ์ เราจึงคุ้นเคยกันดีเรื่องของกฎแห่งกรรมและเจ้ากรรมนายเวร ที่เชื่อว่าหากเราเคยทำร้ายใครมา ถึงวันหนึ่งเราก็จะโดนเขาทำร้ายกลับด้วยเช่นกัน

แต่กฎแห่งกรรมที่เราคุ้นเคยมันคือการปฏิสัมพันธ์กันโดยตรงของคนสองคนหรือคนกลุ่มหนึ่ง มีคู่กรณีที่พอจะจับต้องได้

แต่การตัดสินใจของ Henry L. Stimson ที่หลงรักเมืองเกียวโตเมื่อ 19 ปีที่แล้ว และขอให้ประธานาธิบดีทรูแมนถอดเกียวโตออกจากลิสต์เมืองเป้าหมายของระเบิดปรมาณู เป็นเรื่องราวที่ไม่ได้สอดคล้องกับเรื่องกฎแห่งกรรมที่เราได้ยินได้ฟังกันมา เพราะนาย Stimson ไม่ได้มีความแค้นกับใครเลยในเมืองฮิโรชิม่าหรือนางาซากิ แต่การตัดสินใจของเขาที่จะเซฟเมืองเกียวโตก็ทำให้คนเกือบสองแสนในอีกสองเมืองนั้นกลายเป็นเถ้าถ่าน

ในหนังสือยังมีตัวอย่างอีกมากมายที่บอกถึงความเชื่อมโยงกันและกันที่เราคาดไม่ถึง เช่นการปล่อยหมาป่า 31 ตัวเข้าไปใน Yellowstone National Park ในปี 1995 ทำให้กวางเอลก์ปรับพฤติกรรมการกิน จนต้นไม้ขึ้นได้อุดมสมบูรณ์ขึ้น แม่น้ำเปลี่ยนทิศ สัตว์ที่เคยหายไปจากป่านี้หวนกลับมา และระบบนิเวศอุดมสมบูรณ์ขึ้น

เมื่อได้อ่าน Fluke เราจะเห็นความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งโดยไม่ต้องอาศัยศรัทธาหรือความเชื่อทางจิตวิญญาณใดๆ


เราอาจได้รับโชคแห่งโคคุระมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

หลังจากปล่อยระเบิดที่ฮิโรชิม่าแล้ว เมืองเป้าหมายถัดไปคือโคคุระ แต่ปรากฎว่าตอนที่เครื่องบินปล่อยระเบิดไปถึงนั้นเมืองนี้มีเมฆบัง มองไม่เห็นเป้าหมายด้านล่าง นักบินจึงบินไปปล่อยระเบิดที่เมืองนางาซากิแทน

ชาวโคคุระไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่าตัวเองเฉียดเส้นยาแดงผ่านแปดแค่ไหน เป็นความโชคดีที่เราไม่รู้ตัว จนเกิดคำสำนวนที่เรียกว่า ‘โชคแห่งโคคุระ’

เมื่อมองยอนกลับไป เราอาจจะเคยพบประสบการณ์หวาดเสียว เกือบเจออุบัติเหตุและคลาดแคล้วไปนิดเดียว

แต่นั่นคือเฉพาะเหตุการณ์ที่เรารู้ตัวเท่านั้น ยังมีเหตุการณ์อีกมากมายที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ได้มีส่วนรู้เห็นด้วยเลย แต่มันก็ทำให้รอดมาได้เหมือนชาวเมืองโคคุระ

เมื่อตระหนักได้เช่นนี้ เราจะไม่หงุดหงิดเวลาที่อะไรไม่เป็นไปดั่งใจ เช่นมีเหตุการณ์ทำให้การเดินทางของเราล่าช้า เราก็สามารถบอกตัวเองได้ว่า อ้อ มันอาจจะช่วยให้เรารอดพ้นจากเหตุการณ์ร้ายๆ ก็ได้นะ

ลองมองไปทุกอุบัติเหตุหรือโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น หากคนที่เกี่ยวข้องออกจากบ้านช้าเพียงนิดเดียว หรือแวะกลางทางแค่แป๊บเดียว เขาก็อาจจะแคล้วคลาดไปแล้วก็ได้


ทุกเรื่องดีและร้ายทำให้เราได้เป็นเราในวันนี้

Brian Klaas ผู้เขียนหนังสือบอกว่า เพราะการฆาตกรรมหมู่ของภรรยาคนแรกของคุณปู่ จึงทำให้เขาได้เกิดมา และได้รับประสบการณ์ทั้งหมดที่มีในชีวิต

เรื่องร้ายๆ ที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตเรา ทำให้เราเดินทางมาถึงจุดที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบัน

และเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ก็ส่งผลให้เกิดเรื่องร้ายๆ ในอนาคตได้เช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราปลูกต้นไม้ในวันนี้ อีก 20 ปีข้างหน้าอาจจะมีเด็กคนหนึ่งปีนต้นไม้ต้นนี้และตกลงมาขาหักก็ได้

แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราไม่ควรปลูกต้นไม้ เพราะความน่าจะเป็นก็คือต้นไม้ต้นนี้น่าจะสร้างประโยชน์มากกว่าโทษ เราไม่สามารถกะเกณฑ์ได้ว่าสิ่งที่เราทำจะก่อให้เกิดแต่สิ่งดีงาม แต่เราก็ควรเลือกทำสิ่งที่มีประโยชน์อยู่ดี


เรามึความหมายกับใครบางคนเสมอ

ชื่อเต็มของหนังสือเล่มนี้คือ Fluke: Chance, Chaos, and Why Everything We Do Matters – โชคชะตา ความยุ่งเหยิง และเหตุผลที่ทุกสิ่งที่เราทำนั้นส่งผลกระทบกับอะไรบางอย่างเสมอ

นักท่องเที่ยวชาวมาซิโดเนียเหนือชื่อ ‘อีวาน’ ถูกกระแสน้ำพัดออกไปจากชายฝั่ง

เพื่อนๆ ของเขารีบแจ้งหน่วยยามฝั่ง แต่การค้นหาล้มเหลว อีวานถูกประกาศว่าสูญหายในทะเลและถูกสันนิษฐานว่าอาจเสียชีวิต

แต่อีก 18 ชั่วโมงต่อมา อีวานก็ถูกพบตัว และยังมีชีวิตอยู่!

ดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ก่อนที่อีวานจะจมลงสู่พื้นบาดาล เขาเห็นลูกฟุตบอลลูกเล็กๆ กำลังลอยอยู่ไกลๆ เขาใช้แรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ว่ายไปหาบอลลูกนั้น และเกาะมันไว้ทั้งคืนจนกระทั่งได้รับการช่วยเหลือ

เมื่อเรื่องราวการรอดชีวิตของอีวานกลายเป็นข่าวในกรีซ ผู้หญิงคนหนึ่งถึงกับช็อก เพราะเธอจำลูกบอลที่ช่วยชีวิตอีวานได้

มันคือลูกบอลที่ลูกชายทั้งสองของเธอเล่นกันเมื่อ 10 วันก่อนหน้านี้และเตะพลาดตกลงไปในทะเล

ลูกบอลได้ลอยละล่องในท้องทะเลเป็นระยะทาง 120 กิโลเมตรจนมาพบกับอีวานที่กำลังจะจมน้ำพอดิบพอดี

เด็กชายทั้งสองไม่ได้คิดอะไรมากกับลูกบอลที่หายไป พวกเขาก็แค่ซื้อบอลลูกใหม่

กว่าจะได้มารู้ในภายหลังว่า หากไม่ใช่เพราะการเตะบอลพลาดครั้งนั้น อีวานก็คงไม่รอดชีวิต

เราทุกคนเป็นเหมือนก้อนหินที่ตกน้ำ หินทุกก้อนย่อมสร้างแรงกระเพื่อมออกไปไม่มีที่สิ้นสุด

ถ้าเราพูดและทำดีกับลูกเราในวันนี้ ลูกของเราก็จะพูดดีและทำดีกับลูกกับหลานของเขา คำพูดของเราไม่ได้มีผลแค่วันนี้หรือพรุ่งนี้ แต่จะส่งผลไปถึงคนที่เราไม่มีวันได้เจออีกมากมายหลายร้อยหลายพันชีวิต

ประโยคหนึ่งที่ผู้เขียนใช้บ่อยๆ คือ We control nothing, but we influence everything. เราควบคุมอะไรไม่ได้สักอย่าง แต่เราส่งผลกับทุกสิ่งทุกอย่าง

ดังนั้น ไม่ว่าเราจะมองว่าตัวเองตัวเล็กแค่ไหน งานที่เราทำดูเล็กน้อยแค่ไหน ขอให้มั่นใจเถอะว่าการมีอยู่ของเรานั้นทำโลกนี้ไม่เหมือนเดิม


เราคืออุบัติเหตุของจักรวาล

เวลาเกิดสิ่งดีๆ เรามักจะบอกว่าเราโชคดี แต่พอเกิดเรื่องราวร้ายๆ เรามักจะมองหาเหตุผลหรือความหมายว่าทำไมเรื่องนี้ถึงเกิดขึ้นกับเรา จนมีคำพูดที่ว่า Everything happens for a reason.

แต่ Klaas มองว่า Not everthing happens for a reason. Things just happen.

ซึ่งใกล้เคียงกับคอนเซ็ปต์ “มันเป็นเช่นนั้นเอง” หรือ “ตถตา” ของท่านพุทธทาส

ไม่ได้บอกว่าสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นโดยไม่มีที่มาที่ไป ทุกสิ่งมีที่มาที่ไปเสมอตามหลักอิทัปปัจจยตา เพราะมีสิ่งนี้จึงเกิดสิ่งนี้ เพียงแต่มันอยู่นอกเหนือการควบคุมของมนุษย์

เอาเข้าจริง Klaas เชื่อในทฤษฎี Determinism หรือนิยัตินิยม ที่เชื่อว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วโดยเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ซึ่งถ้ามองกันแบบสุดทางเลยก็คือ การที่คุณมานั่งอ่านบทความผมอยู่ตรงนี้มันถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่บิ๊กแบงแล้ว

[ถ้าอยากเข้าใจนิยัตินิยมมากขึ้น แนะนำให้อ่านงานของ Robert Sapolsky เช่นเรื่อง Behave ที่สำนักพิมพ์ Sophia เพิ่งเอามาแปลเช่นกัน และมีเล่มภาคต่อที่ยังไม่ได้แปลคือ Determined จากนักเขียนคนเดียวกัน]

ดังนั้น ถ้าวางความรู้จากพระคัมภีร์ลง การที่มนุษย์ได้เกิดมาอาจไม่ได้มีความหมายใดๆ เลย

แต่การที่ชีวิตไม่มีความหมาย ก็ไม่ได้แปลว่ามันไม่มีคุณค่า

ตรงกันข้าม การที่เราได้เกิดมา นับเป็นลูกฟลุกซ้อนลูกฟลุกนับครั้งไม่ถ้วน ถ้าพ่อแม่ของเราไม่ได้เจอกัน รวมถึงบรรพบุรุษของเราตลอดทั้งสายไม่ได้มาพบกันตามจังหวะและเวลาเช่นนั้นเป๊ะๆ เราย่อมไม่ได้เกิดมา

ซึ่งนั่นก็รวมถึงการเกิดของลูกเราด้วย ถ้าสเปิร์มอีกตัวเจาะไข่ได้สำเร็จก่อนเพียงเสี้ยววินาที เด็กที่เกิดมาก็จะเป็นเด็กอีกคนที่ไม่ใช่ลูกของเราคนปัจจุบัน

การที่เราได้มีโอกาสมีชีวิตและได้รับประสบการณ์ต่างๆ ได้กินของอร่อย ได้ทำงานที่รัก ได้ท่องเที่ยว ได้หัวเราะ ต้องนับเป็นความโชคดีอย่างยิ่ง เพราะเพียงย้อนกลับไปแก้ไขอะไรเพียงนิดเดียว ทุกอย่างอาจแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

ในเมื่อเราเป็นอุบัติเหตุของจักรวาล – We are a cosmic fluke. – สิ่งเดียวที่เราทำได้คือใช้สิทธิ์นี้ให้คุ้มค่า ใช้ชีวิตให้เต็มที่ ให้สมฐานะความมหัศจรรย์ทุกอย่างที่ทำให้เราได้เป็นเราอย่างทุกวันนี้ครับ


อ่านต่อ: Fluke หนังสือเปลี่ยนชีวิตแห่งปี 2024

ทุกองค์กรมีคนอยู่ 2 แบบ

ทุกองค์กรมีคนอยู่ 2 แบบ

ในช่วงเดือนที่ผ่านมา มีสิ่งหนึ่งที่ผมตระหนักชัดขึ้นเรื่อยๆ

ว่าคนทำงานนั้นแบ่งออกได้เป็นสองแบบ

ที่ผ่านมาเราอาจเคยได้ยินการแบ่งคนทำงานเป็น People Manager (ต้องดูแลคน) กับ Individual Contributor (ทำงานคนเดียว ไม่มีลูกน้อง)

หรือแบ่งเป็น Specialist รู้อะไรให้กระจ่างแต่อย่างเดียว กับ Generalist รู้แบบเป็ด ทำได้ทุกอย่าง

หรือแบ่งเป็นคนที่มี Growth Mindset กับ Fixed Mindset

แต่ผมคิดว่าอีกหนึ่งวิธีการแบ่งที่น่าจะมีประโยชน์ คือการแบ่งคนทำงานเป็นคนที่แคร์มากพอ กับคนที่แคร์ไม่มากพอ

ถ้าพนักงานคนหนึ่งเป็นคนที่แคร์มากพอ ไม่ว่าเขาจะอยู่ระดับไหนในองค์กร พลังงานที่เขามี สีหน้าท่าทาง การใช้คำพูด การลงมือทำ การ follow up มันจะสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าเขาอยากทำงานออกมาให้ดี

คนที่แคร์มากพอ แม้จะยังขาดความรู้ ขาดประสบการณ์ หรือมีนิสัยบางอย่างที่ยังเป็นจุดอ่อน แต่เขาจะไม่หยุดเรียนรู้และมุ่งมั่นที่จะทำงานให้สำเร็จ ซึ่งนั่นย่อมจะทำให้เขาเก่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้

ในทางกลับกัน คนที่แคร์ไม่มากพอจะมีพลังงานอีกแบบ มีอากัปกิริยาอีกแบบ มีคุณภาพของการทำงานอีกแบบ และมีพัฒนาการที่สวนทางกับคนที่แคร์มากพอ

คนบางคนมีความรู้ความสามารถเต็มเปี่ยม แต่ถ้าเขาแคร์ไม่มากพอ งานย่อมออกมาต่ำกว่าศักยภาพที่เขามี

ผมลองนึกย้อนกลับไปในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และพบว่าแทบทุกครั้งที่เกิดความผิดพลาดในเรื่องที่ไม่ควรพลาดหรือโดนตำหนิ หนึ่งในปัจจัยสำคัญก็คือผมแคร์ไม่มากพอ

ส่วนงานที่ทำออกมาแล้วสำเร็จเป็นอย่างดี ก็เพราะว่าผมใส่ใจและตั้งใจ จึงวางแผนอย่างละเอียด ติดตามงานจริงจัง และรีดเค้นศักยภาพของตัวเองและทีมงานอย่างเต็มที่

องค์กรที่เต็มไปด้วยคนที่แคร์มากพอ จึงเป็นองค์กรที่มีโอกาสเจริญมากกว่าองค์กรที่เต็มไปด้วยคนที่แคร์ไม่มากพอ

ซึ่งแน่นอนว่าทุกองค์กรอยากเป็นแบบแรก แต่คำถามก็คือ ถ้าองค์กรยังมีคนที่แคร์มากพออยู่น้อยเกินไป เราควรทำอย่างไรกันดี

นี่คือคำถามที่ผู้บริหาร ผู้จัดการ และ HR ต้องตอบให้ได้ โดยเริ่มต้นจากการสำรวจปัจจัยเหล่านี้:

  • คำพูดและการกระทำของผู้บริหาร
  • สภาพของธุรกิจและตลาดว่ามันชวนให้คนในองค์กรมีความหวังหรือไม่
  • คนที่เราเลือกเข้ามา
  • คนที่เราจัดการออกไป
  • คนสไตล์ไหนที่เราตอบแทนและให้โอกาส
  • ความโปร่งใสในการสื่อสาร

แน่นอนว่าผู้บริหารหรือ HR ก็ไม่สามารถพูดได้ทุกอย่าง และไม่สามารถตามใจพนักงานได้ทุกเรื่อง แต่ถ้าเราได้คนที่ใช่เข้ามา วาดภาพอนาคตให้เห็นร่วมกัน และปฏิบัติต่อกันด้วยความเคารพ ก็น่าจะเป็นตัวผลักดันให้คนทำงานมีความแคร์มากพอที่จะทำงานของตัวเองให้ดี และพร้อมจะช่วยให้คนอื่นทำงานได้ดีด้วย

ในมุมของพนักงาน ข้อดีของการเป็นคนที่แคร์มากพอคือมันไม่ต้องใช้เวลา แค่เปลี่ยนโหมดก็เป็นได้เลย ไม่ต้องไปลงเรียนคอร์สเพื่อปรับ competencies ใดๆ และการเป็นคนที่แคร์มากพอในองค์กรที่แคร์มากพอน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการใช้ชีวิตวัยหนุ่มสาวที่จะอยู่กับเราเพียงไม่นาน

ทุกองค์กรมีคนอยู่ 2 แบบ

คือคนที่แคร์มากพอ กับคนที่แคร์ไม่มากพอครับ