อยากให้คุณช่วยอธิบายเพิ่มเติมที่เคยตอบกระทู้ไว้ใน http://www.bookcyber.com ที่ว่า “การอ่านในอินเตอร์เน็ตไม่ได้ความรู้สึกเหมือนอ่านหนังสือ”
อ่านหนังสือมันมีความสบายเกิดขึ้น…(พูดเสียงสบาย) มันมีสัมผัสของกระดาษ…มันมีอารมณ์ มีอะไรมากกว่าจอเหลี่ยมๆ ผมคิดอย่างนั้นนะ แล้วเราต้องยอมรับเลยว่า มันไม่ใช่ธรรมชาติของมนุษย์เลยที่จะมานั่งจ้องแสง จ้องอะไรจ้าๆ ที่ออกมาจากจอนานๆ มันไม่ใช่ธรรมชาติเลย (ย้ำหนักแน่น) ถึงแม้ว่าข้อมูลข่าวสารในอินเตอร์เน็ตมันจะไปไกลเร็วแค่ไหนก็ตาม สุดท้ายผมเชื่อว่า มนุษย์เราต้องอยู่กับธรรมชาติ อยู่กับกระดาษ อยู่กับแสงธรรมชาติ ผมเคยคิดเล่นๆ ว่า วัฒนธรรมที่สูงส่งที่สุดของมนุษย์ชาติน่าจะคือ กระดาษกับดินสอ
– ประภาส ชลศรานนท์ สัมภาษณ์ลง a day volume 1 number 1, September 2000
—–
ผมเคยเป็นหนึ่งในแฟนตัวยงของนิตยสาร a day ครับ
ซื้อ a day ตั้งแต่เล่มแรก สมัยที่พี่โหน่ง วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ เป็นบรรณาธิการ (คนอะไรชื่อ-นามสกุลเท่ชะมัด)
และถ้าผมจำไม่ผิด ผมมี a day ครบทุกเล่มตลอด 7-8 ปีแรกของนิตยสารเล่มนี้ มาปีหลังๆ นี่แหละที่ต้องเลือกซื้อเพราะไม่มีที่จะเก็บและไม่มีเวลาจะอ่าน
เมื่อคืนนี้อยากจะหา “เชื้อเพลิง” มาเขียนบล็อก เลยสุ่มหยิบ a day มาเล่มหนึ่ง ก็ดันหยิบได้ a day ฉบับปฐมฤกษ์มา และบทสัมภาษณ์ที่สำคัญที่สุดในเล่มนี้ก็คือบทสัมภาษณ์ของคุณประภาส ชลศรานนท์
ก็เลยได้เรื่องของพี่จิกมาเล่าเป็นวันที่สองติดต่อกัน ขอบคุณนะครับพี่จิก!
ผมลองเข้าไปดู http://www.bookcyber.com ปรากฎว่าเว็บหายไปแล้ว ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะคำพูดนี้พี่จิกพูดไว้ตั้งแต่เมื่อ 15 ปีที่แล้ว สมัยที่คนยังใช้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะมากกว่าแล็ปท็อป มือถือฮิตที่สุดคือโนเกีย 3210 และโลกยังไม่เคยได้ยินคำว่า Kindle หรือ iPad
ดังนั้นการเสพสื่อออนไลน์ส่วนใหญ่ก็คือการอ่านผ่านจอมอนิเตอร์ 15 นิ้ว
“มันไม่ใช่ธรรมชาติของมนุษย์เลยที่จะมานั่งจ้องแสง จ้องอะไรจ้าๆ ที่ออกมาจากจอนานๆ มันไม่ใช่ธรรมชาติเลย”
ถ้าพี่จิกจำคำพูดนี้ได้ มาเห็นตอนนี้คงจะตกใจ เพราะเรากำลังใช้เวลากับจอจ้าๆ นี้มากกว่าปี 2000 ไม่รู้ตั้งกี่เท่า
เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ผมยังเรียนอยู่ปี 3 เวลาส่วนใหญ่จึงอยู่กับห้องเรียน หอพัก และสนามบอล เวลาที่ต้องจ้องคอมก็มีแค่ตอนทำรายงานบางชิ้น ซึ่งก็น่าจะไม่เกินวันละ 2 ชั่วโมง
มาเดี๋ยวนี้ผมจ้องจอคอมไม่ต่ำกว่า 7 ชั่วโมงที่ทำงาน ต่อด้วยจอมือถืออีกอย่างน้อย 1 ชั่วโมง และเมื่อมองไปในอนาคตก็ยังไม่เห็นแนวโน้มว่าจำนวนชั่วโมงจะลดลงแต่อย่างใด
“ผมเชื่อว่า มนุษย์เราต้องอยู่กับธรรมชาติ อยู่กับกระดาษ อยู่กับแสงธรรมชาติ ผมเคยคิดเล่นๆ ว่า วัฒนธรรมที่สูงส่งที่สุดของมนุษย์ชาติน่าจะคือ กระดาษกับดินสอ”
ผมก็เป็นคนนึงที่ยังนิยมอ่านหนังสือที่ทำจากกระดาษ เพราะมันสบายตากว่า ไฮไลท์ง่ายกว่า และพออยู่บนชั้นหนังสือก็เป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ดูงามตา แม้จะมีข้อเสียที่มันเก็บฝุ่นและกินพื้นที่ แต่ตอนนี้ก็อ่านหนังสือได้น้อยลงอย่างเห็นได้ชัดเพราะมือถือดึงเวลาไปเกือบหมด
เวลาผมทำ To Do List แต่ละวัน ผมก็จะใช้ดินสอนเขียนบนกระดาษ A4 ข้อดีก็คือเราจะได้ไม่พยายามทำอะไรเยอะเกินไป และความรู้สึกตอนที่ใช้ดินสอนขีดคร่อมงานที่ทำเสร็จแล้วมันสะใจกว่าการติ๊ก “Done” ในคอมเยอะเลย
ผมเคยเขียนบล็อกถึงคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเราเรื่องว่า ใช้ iPad เยอะๆ มันไม่ดีนะ เพราะมันจะทำให้กลายเป็นคนแก่ใจร้อนและเสียเวลาในการทำกิจที่ควรทำ
ส่วนตัวเองก็พยายามจะลดเวลาอยู่กับจอคอมให้น้อยลง ด้วยการพักเบรกไปเดินเล่นบ่อยๆ และไม่ใช้คอมหรือมือถือหลังสี่ทุ่มเพราะมันจะทำให้นอนหลับไม่สนิท
แค่ 15 ปี พฤติกรรมพวกเรายังเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ ไม่อยากคิดว่าอาการ “ติดจอซินโดรม” จะหนักแค่ไหนในอีก 15 ปีข้างหน้า
ตาเริ่มล้าแล้ว คงได้เวลาพักไปเดินเล่น คงต้องขอจบบทความนี้ไปก่อน
แต่ก่อนจะไป ขอฝากวีดีโอเรื่องนี้ที่ผมคิดว่าทำออกมาได้เจ๋งดีครับ