ทัวร์เริ่มไปตั้งแต่ตอน 10:30 แต่เราไปถึงตอน 10.45 มีรปภ.หญิงท่าทางขึงขังยืนตรวจกระเป๋าจนเสร็จสรรพแล้วก็บอกให้เราไปเข้าคิวตรงรีเซ็ปชั่นซึ่งมีคนเยอะพอดู
รอคิวอยู่ประมาณ 5 นาทีเราจึงโชว์ตั๋วให้เขาดู เอ่ยขอโทษเขาที่มาสาย เขาบอกว่าตอนนี้ทัวร์ทุกรอบเต็มหมดแล้ว ไม่สามารถจะให้เราไปร่วมกับทัวร์รอบอื่นได้ จึงต้องให้เราไปสมทบกับทัวร์รอบ 10:30 ตามกำหนดการเดิม จากนั้นก็หยิบป้ายมาให้เราแขวนคอไว้เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ว่าเราจ่ายตังค์ค่าบัตรเรียบร้อย และสามารถเดินเข้าพิพิธภัณฑ์กับบริเวณสเตเดี้ยมได้
เจ้าหน้าที่โทรศัพท์บอกให้คนข้างในออกมารับพวกเรา หลังจากรอจนถึงเกือบ 11 โมงอย่างกระสับกระส่าย เจ้าหน้าที่ผู้หญิงอีกคนท่าทางคล่องแคล่วก็เดินมารับพวกเรา บอกว่า เราคงพลาดครึ่งแรกของการทัวร์ แต่ก็ปลอบใจเราว่าเราไม่ได้พลาดส่วนที่ดีที่สุดไป (You won’t miss the best part) คือห้องแต่งตัว (Dressing Room) กับประตูทางเดินลงสนาม
จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พาเราเดินจ้ำไปหากลุ่มทัวร์ที่ออกสตาร์ทไปตั้งแต่ตอนสิบโมงครึ่ง ผมบอกเจ้าหน้าที่ว่าแฟนท้องอยู่อาจจะเดินเร็วมากไม่ได้ เขาก็เข้าใจและพยายามเดินในสปีดที่แฟนพอจะเดินตามทัน
บรรยากาศช่วงนั้นเหมือนเรากำลังอยู่ในหนังฉากที่เรากำลังเดินหนีผู้ร้ายในตึกอันซับซ้อน เข้าประตูนั้น ออกประตูนี้ ขึ้น-ลงบันได ผ่านจุดที่คนทั่วไปเข้าได้และส่วนที่ให้เจ้าหน้าที่เท่านั้นผ่านได้ โดยเป้าหมายก็เพื่อจะเดินไปให้ถึงกลุ่มทัวร์ให้เร็วที่สุด
หลังจากเดินอยู่เกือบสิบนาที พวกเราก็ตามเขาทันจนได้ ในห้องรรับรอง “แขก VIP” เช่นประธานสโมสร หรือโค้ชจากทีมอื่นๆ ซึ่งเขาจะมากินข้าวและพูดคุยกันก่อน ก่อนที่จะเดินเข้าอัฒจันทร์ กลุ่มทัวร์กลุ่มหนึ่งประมาณ 30 คนเห็นจะได้ คนนำทัวร์เป็นผู้ชายสูงวัยอายุน่าจะเกิน 60 แล้ว (และทัวร์กลุ่มอื่นๆ ก็เหมือนจะมีแต่ผู้ชายสูงวัยเป็นไกด์ทั้งนั้นเลย ผมเดาว่าอาจจะเป็นนโยบายของสโมสรเพื่อให้คนเหล่านี้มีงานทำก็เป็นได้) และทุกกลุ่มทัวร์จะมีรปภ.คอยตามจี้อยู่ข้างหลัง ถ้าเราหยุดถ่ายรูปนานเกินไปเขาก็จะเดินมากดดันเราว่าให้ไปต่อได้แล้วเจ้าพวกลิงน้อย
เมื่อดูห้องรับรองเสร็จแล้วก็เดินเข้าสู่อัฒจันทร์ครับ ที่นั่งที่เห็นเป็นเก้าอี้สีเลือดหมู พื้นเป็นเบาะพับได้ และวิวของสนามก็ดีมากๆ หญ้าเขียวขจีสุดๆ
จากนั้นเราก็เป็นช่วงไฮไลท์ของทัวร์ครั้งนี้คือห้องแต่งตัวนักกีฬาครับ
แว่บแรกที่เดินเข้าห้องคือรู้สึกว่า ห้องใหญ่กว่าที่คิด
ความคิดอีกอย่างที่ตามมาคือมันสะอาดและเนี้ยบกว่าที่คิด ห้องแต่งตัวที่ผมคุ้นเคยมันจะต้องมีกลิ่นอับ กลิ่นโคลน ฯลฯ ที่บ่งบอกถึงสภาพของนักกีฬาที่ผ่านสมรภูมิมาแล้ว แต่นี่เขาดูแลสภาพได้อย่างดีมากเหมือนเป็นห้องใหม่เลย
บริเวณรอบๆ ห้องก็จะมีเสื้อของแต่ละคนแขวนอยู่ ตรงกลางห้องจะมีจอทีวีและมีไวท์บอร์ดเพื่อเอาไว้วางแผนเกมการแข่งขัน
ผู้บรรยายได้เล่าอีกว่า ในคืนก่อนวันแข่งขันนักเตะจะมานอนพักที่โรงแรมเดียวกัน และก่อนเกมประมาณ 3 ชั่วโมงก็จะมากินข้าวร่วมกัน โดยจะเน้นไปที่อาหารคาโบไฮเดรตอย่างสปาเก็ตตี้ เพื่อให้ได้พลังงานสูงสุด เมื่อทานข้าวเสร็จแล้วจึงขึ้นรถบัสของทีมและมาที่สนามโอลด์แทรฟฟอร์ด
รูปจากนี้ไปจะมีทั้งจากกล้อง Cannon และกล้องมือถือนะครับ ความคมชัดจึงอาจจะแตกต่างกันเล็กน้อย
สองสิ่งที่เราจะเห็นจนชินตาเวลาเดินจากห้องหนึ่งสู่ห้องหนึ่งคือร้านขายเบียร์กับป้ายบอกราคาต่อรองครับ
การดูบอลที่นี่เขาห้ามเอาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปในสนาม ต้องกินเฉพาะในบริเวณด้านในตัวอาคารเท่านั้น ที่น่าชื่นใจคือเบียร์สิงห์ของเราเด่นมาก!
ส่วนราคาต่อรองก็จะมาในหลายรูปแบบมาก เช่นราคาต่อรองสำหรับ Rooney ยิงเป็นคนแรก หรือราคาต่อรองสำหรับ Valencia ยิงและแมนยู ชนะ 3-0 แต่ที่แน่ๆ ไม่มีราคาต่อรองอันไหนที่ระบุว่าแมนยูจะแพ้นะครับ!
จากนั้นเราก็มาถึงอีกจุดหนึ่งของไฮไลท์ของทางเดินเข้าสนามบอลของทั้งสองทีม (และเป็นทางเดินกลับเข้ามาจากสนามด้วย) มุมที่เราคุ้นตาคือภาพจากกล้องที่ถ่ายจากปากทางเข้ามา เห็นกัปตันของสองคนยืนกระทบไหล่กันอยู่ อีกมือหนึ่งก็จับมือเด็กตัวเล็กๆ ที่ใส่ชุดทีมตัวจิ๋วเพื่อเดินเข้าสนามบอลด้วยกัน
แต่มุมที่ผมถ่ายคือมุมที่มองจากด้านในออกไป คุณไกด็บอกว่าลองมองบนเพดานด้านบน มันจะเป็น บันไดไฮโดรลิกที่สามารถยกขึ้นได้เวลาเกิดเหตุไฟไหม้ เพื่อให้รถดับเพลิงสามารถวิ่งเข้ามานสนามได้ ส่วนอีกกรณีหนึ่งที่จะยกบันไดขึ้นมาก็คือตอนที่ปีเตอร์เคราช์มาเตะที่นี่! (ใครไม่เก็ทมุขนี้ให้ไปถามเพื่อนที่ดูบอลนะครับ)
อ้อ ด้านซ้ายมือจะเห็นกระดานที่มีป้ายเป็นตารางโลโก้สปอนเซอร์ นี่คือจุดที่นักข่าวจะมาสัมภาษณ์นักเตะและผู้จัดการทีมหลังจากจบเกมการแข่งขันครับ
ถ้ามองขึ้นไปเหนือป้ายเล็กน้อยจะเห็นแผ่นกลมๆ สีดำๆ ที่มีรูปคนอยู่ในวงกลมเล็กสีขาวๆ ผมจำชื่อคนนี้ไม่ได้แล้ว แต่คือคนที่บริจาคเงินให้แมนยูช่วงที่ประสบวิกฤติทางการเงินตั้งแต่สมัยก่อนนู้นครับ (ไม่น่าจะต่ำกว่า 50 ปี)
ป้ายดำๆ กลมๆ นี้เราจะเห็นได้หลายจุดในสนาม บ่งบอกให้เห็นว่าเขาไม่เคยลืมบุญคุณคนที่เคยช่วยเหลือสโมสรเลย
จากนั้น เขาก็พาเราไปที่ Dugout นั่นก็คือที่นั่งของผู้จัดากรทีมและม้านั่งตัวสำรองนั่นเอง
ตรงนี้เราจะเห็นสนามได้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น มีตั้งรั้วกั้นไว้ถึงสองชั้น มีคนถามรปภ.ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าลูกทัวร์ลงไปวิ่งเล่นในสนาม รปภ.ตอบว่า ตำรวจจะมาจับครับ เพราะขนาดตัวเขาเองยังไม่ได้รับอนุญาตให้ลงไปเลย
พื้นที่ม้านั่งสำรองก็จะมีของทีมเหย้าทีมเยือน ถ้ามองจากสนามเข้ามาทีมเยือนจะอยู่ฝั่งซ้าย ทีมเหย้าจะอยู่ฝั่งขวาครับ
ม้านั่งสำรองคือจุดสุดท้ายของการทัวร์ครั้งนี้ครับ ก็ถือว่าอิ่มเอมกันไปตามๆ กัน แม้ว่าจะพลาดครึ่งชั่วโมงแรกไปก็เถอะ
จบจากทัวร์ปุ๊ปพอเดินออกมาก็จะเจอ ManU Megastore ปั๊ป ช็อปกันสนุกมือ ผมเองไม่รู้จะซื้ออะไรเลยซื้อหนังสือภาพการ์ตูนประวัติแมนยู กับทำปกหนังสือพิมพ์ไว้เป็นที่ระลึกครับ เพราะสองอย่างนี้น่าจะหาซื้อในเมืองไทยไม่ได้
ออกจากสนามมา ก็จะเจอชายหนุ่มฉกรรจ์มายืนขายผ้าพันคอราคา 10 ปอนด์ครับ มีหลากหลายแบบมาก แต่ผมอดใจไว้ค่อยมาซื้อวันจริงดีกว่า
รอบๆ สนามจะมีรูปปั้นของนักเตะในตำนานอย่าง The Trinity – Bobby Charlton, Denis Law และ George Best ครับ
พรุ่งนี้จะพาไปดูพิพิธภัณฑ์และ Red Café นะครับ
—–
อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ Archives
ติดตามผลงานได้ที่ Anontawong’s Musings on Facebook