ฟังเพศแม่ให้มากขึ้น

20170506_norespect

[ถาม] เพศชายเป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตรายขนาดนั้นเลยเหรอ
[ตอบ] แน่นอน ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะอันตรายไปกว่าผู้ชายที่ไม่มีอะไรจะเสีย ผู้ชายที่มีแต่ความบ้าคลั่ง ไร้มนุษยธรรม ไร้หลักการ ไม่มีสิ่งไหนจะเป็นภัยต่อมนุษย์เท่ากับสิ่งนี้แล้ว แม้แต่เสือ กระทิง แรด ก็สู้ไม่ได้ โดยเฉพาะในวัย 17-30 ปี คือช่วงเวลาที่โหดร้ายที่สุดสำหรับผู้ชาย เป็นช่วงวัยที่เราสามารถทำอะไรก็ได้ เผาป่า ระเบิดภูเขา ฆ่าคนได้นับล้าน

[ถาม] คุณมีช่วงเวลาที่อันตรายแบบนั้นด้วยเหรอ
[ตอบ] ก็ต้องมี แต่โชคดีที่ผมมีแม่ซึ่งเป็นคนที่ส่งอิทธิพลสูงสุดในชีวิต แล้วในวัยเด็กของผมเต็มไปด้วยผู้หญิงที่ทรงพลัง น่าเคารพนับถือ ผมเติบโตมาในโลกที่มีผู้หญิงเยอะกว่า ดังนั้น ผมอาจจะบางเบาลง ไม่ได้โหดเหี้ยมเท่ากับคนที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบทิ้งๆ ขว้างๆ ผมฝึกหัดที่จะนำความโหดร้ายและอารมณ์ร้อนๆ ที่อยากจะแสดงออกเข้าไปใส่ไว้ในดนตรี ไปแสดงออกในผลงานเพลง ถือว่าเป็นการทำงาน เป็นแหล่งระบายพลังบางอย่าง ความตื่นเต้นความกระตือรือร้น ความดี ความเลว และทุกอย่างที่ผสมๆ กันอยู่ออกไปสู่ภายนอก ผมก็มีศัตรูให้ต่อต้าน มีเป้าหมาย และเป้าต่างๆ ที่ผมอยากจะไปเล่นงานมัน แต่ผมทำได้โดยไม่ใช้ความรุนแรง อย่างว่าแหละ การถูกเลี้ยงด้วยผู้หญิงเป็นหลัก ผมจึงไม่สามารถใช้ชีวิตกับผู้หญิงแบบทิ้งๆ ขว้างๆ อย่างที่เห็นกันทั่วไปในสังคมทุกวันนี้ได้ ทั้งๆ ที่ชีวิตในสังคมวงการบันเทิงมันเอื้ออำนวยโอกาสที่คุณจะทำอะไรตามอำเภอใจตัวเอง โดยเฉพาะในเมืองไทยเรา เรื่องพวกนั้นยังถือว่ามีอยู่ตลอด แต่ผมรู้สึกว่าเราทำไม่ได้ เพราะเรามีอะไรจะสูญเสีย

[ถาม] ผู้หญิงมีความสำคัญต่อชีวิตของผู้ชายอย่างไร
[ตอบ] คือสิ่งสำคัญที่สุดเลยครับ เพราะว่าถ้าไม่มีผู้หญิง ผมคิดว่ามาตรฐานในชีวิตของตัวเราเองจะลดต่ำลงมาก มาตรฐานที่มีให้กับตัวเอง ความพอใจในตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีผู้ชายด้วยกันมาพิพากษาว่า ‘เฮ้ย เล็ก มึงเป็นคนไม่ดี’ ผมโคตรไม่แคร์เลยว่ะ (หัวเราะ) มึงไม่มีความหมายเลยนะ แต่ลองให้แม่ หรือแฟน หรือ น้องสาว พี่สาว มาบอกว่าผิดหวังในตัวผม อันนี้สิเราจะรู้สึกลึกไปถึงข้างใน อันนี้แค่ความรู้สึกของตัวผมนะ ผมไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นเหมือนกันหรือเปล่า ผมจะเอามาตรฐานว่าเราควรทำตัวยังไง พฤติกรรมของเราดีหรือไม่ดี โดยวัดจากสายตาของเพศตรงข้าม ถ้าไม่มีตรงนั้นตัวเราก็ไม่มีมาตรฐาน ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ คิดว่าไม่มีอะไรผิด เพราะตามธรรมชาติของผู้ชายเราๆ นี่มันต้องแข่งกันโหด แข่งกันเจ๋ง แข่งกันเหี้ยม แข่งกันทำเป็นไม่สน แสดงความเลือดเย็น ความนิ่ง ความโหด ต้องเป็นนักเลงสิเว้ย นี่เป็นสิ่งที่ได้รับการเชิดชูในสังคมผู้ชาย ความไม่กลัว ความแข็ง ความดื้อ นี่เป็นสิ่งที่ผู้ชายด้วยกันจะชื่นชม เฮ้ยเพื่อน มึงแม่งแน่ว่ะ แต่ว่าผู้หญิงเขาไม่ได้เคารพเรื่องพวกนี้

[ถาม] แต่มันก็มีนะ มีผู้หญิงที่หลงใหลในผู้ชายอำมหิต
[ตอบ] ก็มี แต่ว่าโดยส่วนใหญ่แล้วผู้ชายเราเป็นเองมากกว่า เราจะไม่ทักท้วงกันเลย ถ้าคุณกำลังทำตัวล้มเหลว คุณกำลังเล่นยา คุณกำลังกินเหล้าจนอ้วก คุณกำลังขี่มอเตอร์ไซค์แล้วไม่ใส่หมวกกันน็อก ไม่มีผู้ชายคนไหนเข้ามาห้ามคุณหรอก สมมติถ้าคุณเมาแล้วขับ ไม่มีเพื่อนผู้ชายคนไหนบอกคุณว่า ‘มึงแน่ใจเหรอ จะดีเหรอ’ แต่ลองเป็นผู้หญิงสิ เขาจะช่วยเข้ามาห้ามปราม เราก็จะรู้สึกตัวขึ้นมา ถึงเขาไม่พูด เราก็จะรู้สึกว่าเขาไม่พอใจ หรือไม่เห็นด้วย

– ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์
a day BULLETIN issue 469 | 24 February 2017
เรื่อง: ปริญญา ก้อนรัมย์, ทรรศน หาญเรืองเกียรติ, มิ่งขวัญ รัตนเดช
ภาพ: มณีนุช บุญเรือง
สไตลิสต์: Hotcake


ในเมืองไทยจะมีผู้ชายอยู่สามคนที่ผม “หลงใหล”

หลงใหลในแง่ที่ว่า ถ้าเห็นเขาให้สัมภาษณ์นิตยสารฉบับไหน ผมไม่พลาดที่จะอ่านทุกตัวอักษร

สามคนที่ว่า คือพี่ต้อม เป็นเอก รัตนเรือง, พี่ตุล อพาร์ทเมนต์คุณป้า และคุณฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์

มานั่งคิดดู ทั้งสามคนที่ผมหลงใหลนี้ผมได้เจอตัวเป็นๆ มาหมดแล้ว แต่ไม่เคยได้คุยกัน

ผมเคยเจอพี่ตุลตัวเป็นๆ ที่ผับเล็กๆ ที่เล่นดนตรีสดใน RCA เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว

เคยเห็นพี่ต้อม ตัวเป็นๆ บนเวทีงานครบรอบ 50 ปี Leo Burnett เมื่อมิถุนายนปีที่แล้ว

ส่วนคุณฮิวโก้นี่เพิ่งเจอเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมานี่เอง เวลาบ่ายโมงตรงตอนที่ผมกำลังรีบเข้าออฟฟิศที่ทองหล่อ จนไม่ได้หยุดรถให้ผู้ชายไว้เคราใส่แว่นตาดำที่กำลังเดินข้ามถนน


บทสัมภาษณ์ของคุณฮิวโก้ ใน a day BULLETIN เป็นอีกหนึ่งบทสัมภาษณ์ที่ดีที่สุดที่ผมได้อ่านในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา อยากแนะนำให้เข้าไปอ่านกันนะครับ

ในบทสัมภาษณ์มีประเด็นที่น่าสนใจมากมาย แต่เรื่องที่ผมอยากหยิบยกมาเขียนในบทความนี้เป็นเรื่องของค่านิยมบางอย่างของผู้ชายที่มันทำให้ผมคิดถึงเพื่อนหลายๆ คน

เพื่อนสนิทผมคนหนึ่งเป็นคนเงียบๆ นิสัยดี มีแต่คนรักใคร่ แต่ช่วงวัยรุ่นเพื่อนผมคนนี้คบผู้หญิงพร้อมกันถึง 4 คน แถมพูดจาทีเล่นทีจริงกับผมด้วยว่าอยากจะมีซัก 7 คน จะได้เจอกันคนละวันในหนึ่งสัปดาห์

เพื่อนสนิทผมอีกคนก็ชอบเป็นเจ้ามือแทงบอลและเล่นหุ้นแบบ day trading เวลาเจ็บตัวหนักๆ ก็เงินหายไปหลายแสน

ส่วนเพื่อนอีกคนเคยเรียนอาชีวะ ครั้งหนึ่งทียกพวกตีกัน มันยิงปืนใส่คู่อริบาดเจ็บสาหัสจนมันต้องหลบตัวไปอยู่ต่างจังหวัดหลายปีจนกว่าคดีจะเงียบ

ที่น่าสนใจก็คือ ผมไม่เคยห้ามปรามหรือตำหนิใครซักคนเลย

“ถ้าคุณกำลังทำตัวล้มเหลว คุณกำลังเล่นยา คุณกำลังกินเหล้าจนอ้วก คุณกำลังขี่มอเตอร์ไซค์แล้วไม่ใส่หมวกกันน็อก ไม่มีผู้ชายคนไหนเข้ามาห้ามคุณหรอก”

พี่น้องที่โตมาในบ้านเดียวกัน มีพ่อแม่คนเดียวกัน กลับมีค่านิยมที่แตกต่างกันเพียงเพราะว่าคนหนึ่งเป็นผู้ชาย อีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิง

นิสัยเจ้าชู้ นิสัยชอบเสี่ยง ชอบความรุนแรง เป็นเหมือนคุณค่าที่เหล่าผู้ชายยึดถือกันโดยไม่ต้องมีใครสอน

แต่เราเคยตั้งคำถามมั้ยว่าค่านิยมเหล่านี้มันมาจากไหน?


ใครที่ตามอ่านบทความ Sapiens ของผม อาจจะพอจำได้ว่า 70,000 ปีที่แล้ว Sapiens ออกเดินทางจากแอฟริกาไปทั่วโลกและหาอยู่หากินด้วยการล่าสัตว์และเก็บพืชผลจนกระทั่ง 12,000 ปีที่แล้วที่เกิดการปฏิวัติเกษตรกรรมที่ทำให้ Sapiens หันมาเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์แทน

เราจึงใช้ชีวิตแบบ Hunters-Gatherers อยู่ถึง 58,000 ปีเป็นอย่างน้อย

ในสังคมล่าสัตว์-เก็บพืชผลนี้ ผู้ชายกับผู้หญิงจะแบ่งหน้าที่กันชัดเจน นั่นคือผู้ชายจะออกล่าสัตว์ ส่วนผู้หญิงจะเก็บพืชผล

จึงพอจะจินตนาการได้ไม่ยากว่า ผู้ชายในสมัยนั้นจะมีคุณสมบัติอย่างไร

“ตามธรรมชาติของผู้ชายเราๆ นี่มันต้องแข่งกันโหด แข่งกันเจ๋ง แข่งกันเหี้ยม แข่งกันทำเป็นไม่สน แสดงความเลือดเย็น ความนิ่ง ความโหด ต้องเป็นนักเลงสิเว้ย นี่เป็นสิ่งที่ได้รับการเชิดชูในสังคมผู้ชาย ความไม่กลัว ความแข็ง ความดื้อ นี่เป็นสิ่งที่ผู้ชายด้วยกันจะชื่นชม เฮ้ยเพื่อน มึงแม่งแน่ว่ะ แต่ว่าผู้หญิงเขาไม่ได้เคารพเรื่องพวกนี้”

ผู้หญิงเขาไม่เคารพเรื่องพวกนี้เพราะว่าผู้หญิงมีหน้าที่เก็บพืชผล จึงไม่ต้องโหด ไม่ต้องเจ๋ง ก็สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้

ปีนี้คือปี 2017 เราไม่ต้องเข้าป่า ไม่ต้องล่าสัตว์แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องทำตัวให้ดูเก๋า แต่ผู้ชายอย่างเราๆ ก็ยังรักษาค่านิยมแบบนี้อยู่ โดยอาจไม่เคยหยุดคิดว่ามันยังมีประโยชน์อยู่รึเปล่า

ซึ่งก็น่าเห็นใจ เพราะเราใช้ชีวิตแบบนักล่าอยู่ร่วม 60,000 ปี ในขณะที่สังคมที่เราคุ้นเคยในปัจจุบันนี้เพิ่งจะมีอายุแค่ร้อยกว่าปีเท่านั้น

“ถ้าไม่มีผู้หญิง ผมคิดว่ามาตรฐานในชีวิตของตัวเราเองจะลดต่ำลงมาก”

“สมมติถ้าคุณเมาแล้วขับ ไม่มีเพื่อนผู้ชายคนไหนบอกคุณว่า ‘มึงแน่ใจเหรอ จะดีเหรอ’ แต่ลองเป็นผู้หญิงสิ เขาจะช่วยเข้ามาห้ามปราม เราก็จะรู้สึกตัวขึ้นมา ถึงเขาไม่พูด เราก็จะรู้สึกว่าเขาไม่พอใจ หรือไม่เห็นด้วย”

ส่วนตัวผมจึงเห็นด้วยกับคุณฮิวโก้ว่าเราควรจะฟังผู้หญิงให้มากขึ้น

ไม่ใช่เพราะว่าเขาฉลาดกว่าหรือเป็นคนดีกว่า แต่เป็นเพราะว่าทัศนคติของเพศแม่น่าจะสอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบันมากกว่าทัศนคติของ “นักล่า” ซึ่งหมดยุคไป 12,000 ปีแล้ว


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก a day BULLETIN issue 469 | 24 February 2017

อ่านบทความใหม่ทุกวันที่เพจ Anontawong’s Musings: facebook.com/anontawongblog
อ่านบทความทั้งหมด anontawong.com/archives
ดาวน์โหลดหนังสือ “เกิดใหม่” anontawong.com/subscribe/