“Being human means every day you have the choice to be compassionate, to be kind to yourself and everyone else around you. So I will tell you that from today onward someone is going to do something to you, that would hurt you, that would disappoint you, someone will embarrass you – it’s happened to me a million times. But don’t let that harden you – let that soften you. Let it open your heart out and change you for the better”
“การที่เราเป็นมนุษย์หมายความว่าทุกๆ วันเราเลือกที่จะมีเมตตากับตัวเองและกับคนที่อยู่รอบกายเราได้ ฉันบอกคุณได้เลยว่าคุณจะได้เจอกับคนที่ทำร้ายคุณ ทำให้คุณเสียใจ และทำให้คุณอับอาย ฉันเจอมาเป็นร้อยเป็นพันครั้งแล้ว แต่อย่าปล่อยให้มันทำให้คุณเป็นคนแข็งกระด้าง ขอให้มันทำให้คุณกลายเป็นคนอ่อนโยนเถอะ จงใช้เหตุการณ์เหล่านี้เปิดหัวใจของคุณและเปลี่ยนคุณให้เป็นคนที่ดีกว่าเก่าเถอะ”
– ปู ไปรยา สวนดอกไม้ (Pu Praya Nataya Lundberg)
Living the dream | Praya Nataya Lundberg | TEDxYouth@NIST
—–
เมื่อสองคืนก่อนตอนเขียนบล็อกตอนมรดก ผมเข้าไป Youtube เพื่อจะหาวีดีโอของคุณพิเชษฐ กลั่นชื่นที่พูดในงาน TEDx Bangkok
แต่ก่อนที่ผมจะเสิร์ชหาชื่อคุณพิเชษฐนี้ ก็ดันเหลือบไปเห็นวีดีโอของคุณปู ไปรยา ที่ Youtube แนะนำให้ดู
เป็นวีดีโอที่คุณปูไปพูดงาน TEDx เช่นกัน แต่ไม่ใช่ TEDx Bangkok แต่เป็น TedX Youth@NIST ที่จัดขึ้นในเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ผมค่อนข้างแปลกใจที่มีดารามาพูดในงานอย่าง TEDx ได้ เพราะงานนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นเวทีที่มีแต่คนระดับพระกาฬมาพูด (และผมเองก็มีความฝันว่าอยากจะได้ขึ้นพูดบนเวที TEDx หรือ TED ซักครั้ง) ดังนั้นการมีดาราไทยมาพูดในงานนี้จึงเป็นเรื่องคาดไม่ถึง และยิ่งคาดไม่ถึงใหญ่เมื่อดาราคนนั้นเคยได้รับโหวตเป็นผู้หญิงสุดเซ็กซี่ของนิตยสาร FHM
อย่ากระนั้นเลย ขอดูวีดีโอนี้ซะหน่อยเถอะ
มีไม่กี่ครั้งที่มุมมองของผมต่อคนๆ หนึ่งจะเปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน
ไม่ใช่ชั่วข้ามคืนด้วย เพราะวีดีโอ TEDx นี้ยาวเพียงแค่ 8 นาทีกว่าๆ
สิ่งที่ทำให้ผมเปลี่ยนใจมีดังต่อไปนี้
หนึ่ง คือคุณปูพูดภาษาอังกฤษดีมาก ซึ่งจะว่าไปก็พอคาดเดาได้เพราะเธอเป็นลูกครึ่ง แต่เผอิญผมเคยได้ยินแต่เธอพูดไทยซึ่งก็พูดไทยได้ชัดจนนึกไม่ถึงว่าจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องขนาดนี้
สองคือเธอพูดจาฉะฉานจนคิดว่าน่าจะมีโอกาสได้ฝึก public speaking มาไม่น้อย แม้ตอนต้นจะประหม่า แต่ยิ่งพูดยิ่งมั่นใจยิ่งไหลลื่น ผมเองให้พูดเป็นภาษาไทยยังพูดสู้เขาไม่ได้เลย
สามคือเนื้อหาประทับใจ เธอเล่าให้ฟังถึงชีวิตวัยเรียน และชีวิตในวงการ และเธอยังเล่าถึงประสบการณ์ที่ไปเยี่ยมผู้ป่วยเอดส์ระยะสุดท้ายที่วัดพระบาทน้ำพุ* เป็น speech ที่ฟังแล้วดู “จริง” และมีหลายประโยคที่ติดอยู่ในใจ ยกตัวอย่างเช่น
Unless you’re dead you’d better show up
ถ้ายังไม่ตาย ยังไงก็ต้องมากองถ่ายให้ได้
(ในขณะที่เพื่อนๆ วัยรุ่นได้ทำอะไรที่อยากทำ คุณปูต้องแบกรับความรับผิดชอบที่เธอมีต่อกองถ่าย ไม่ว่าจะป่วยจะเหนื่อยแค่ไหนก็ห้ามขาดงานเพราะมันกระทบคนจำนวนมาก)
When you do what you love and you have gratitude, you achieve so much more with your life.
ถ้าคุณทำในสิ่งที่ตัวเองรักและซาบซึ้งกับสิ่งดีๆ ที่คุณได้รับ คุณจะทำอะไรสำเร็จได้มากขึ้นอีกเยอะเลย
I’m not here to tell you I’m perfect. I’m not a saint, trust me. If you see the Thai tabloids, you’d know. I’ve done so many things in my life I’m not proud of and my parents aren’t either.
ฉันไม่ได้จะบอกคุณว่าฉันเป็นคนเลิศเลอเพอร์เฟ็ค ฉันไม่ใช่นางฟ้าหรอก ยิ่งถ้าคุณได้อ่านหนังสือก๊อสซิปดาราคุณก็น่าจะรู้ดี มีอะไรหลายๆ อย่างที่ฉันทำลงไปแล้วไม่รู้สึกภูมิใจกับมันซักนิด และพ่อแม่ของฉันก็ไม่ภูมิใจกับมันเช่นกัน
But I’m human, and the thing about being human is that you have the ability to learn, grow, and reflect from your mistakes.
แต่ฉันก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง และการเป็นมนุษย์ย่อมหมายความว่าคุณสามารถเรียนรู้ เติบโต และไตร่ตรองความผิดพลาดของคุณเองได้
แล้วคุณปู ก็พูดถึงประโยคเด็ดที่ผมนำมาใส่ไว้ตอนต้นบทความครับ
“Being human means every day you have the choice to be compassionate, to be kind to yourself and everyone else around you. So I will tell you that from today onward someone is going to do something to you, that would hurt you, that would disappoint you, someone will embarrass you – it’s happened to me a million times. But don’t let that harden you – let that soften you. Let it open your heart out and change you for the better”
—–
นอกจากเนื้อหาที่คุณปูพูดแล้ว ผมยังได้บทเรียนอีกหลายๆ อย่างจากการดูคลิปนี้
บทเรียนแรก คือการได้เห็นอคติในใจตัวเอง ที่คิดว่าดาราไม่ใช่คนที่จะฉลาดหรือเก่งพอที่จะมาพูดในงานอย่าง TEDx ได้
อีกอคติหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือภาพลักษณ์ที่ผมสร้างเอาไว้ในหัว ว่าปู ไปรยาเป็นคนยังไง โดยสรุปเอาเองจากข่าวฉาวที่เคยได้ยิน และชุดที่เคยเห็นเธอใส่เวลาออกงานหรือลงนิตยสารต่างๆ
ผมคิดไปเองว่าผมรู้จักปู ไปรยาแล้ว ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วผมไม่ได้รู้จักเธอเลยซักนิด
บทเรียนที่สอง คืออิทธิพลของสื่อ โดยเฉพาะในวงการบันเทิง ที่ทำให้เรารู้จักดาราเพียงแค่แง่มุมใดมุมหนึ่งเท่านั้น เราจึงมองคนๆ นั้นด้วยสายตาและจิตใจที่คับแคบ เห็นอะไรเพียงแค่มิติเดียว ทั้งๆ ที่เราทุกคนมีหลายมิติด้วยกันทั้งนั้น พอได้ดูคลิปนี้ เลยต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า ภาพมายาที่เราเห็นผ่านเลนส์ของสื่อบันเทิงนั้น มันทำให้เรามองอะไรบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปมากขนาดไหน
บทเรียนที่สาม คือคนเราเปลี่ยนกันได้ คุณปู ไปรยาพูดเองว่าเธอได้ทำอะไรหลายๆ อย่างที่เธอไม่ภูมิใจกับมันซักนิด (หรือถ้าพูดสำนวนไทยก็คือมองกลับไปแล้วรู้สึกอับอายนั่นแหละ) แต่ผมเชื่อแล้วว่า “ปูเปลี่ยนไป” เพราะสิ่งที่ผมเห็นในคลิป TEDx นี้ คือผู้หญิงที่สวย มีสมอง และจิตใจดี ตัวจริงของเธอจะเป็นอย่างนั้นรึเปล่าผมไม่รู้หรอกครับ แต่ผมขอเลือกที่จะเชื่อว่าเธอนิสัยดีขึ้นกว่าแต่ก่อน
อยากให้ผู้อ่าน Anontawong’s Musings ทุกคนได้ดูวีดีโอความยาว 8 นาทีนี้ ถ้าภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงนัก เดี๋ยวนี้ Youtube มันมีให้เปิดซับไตเติ้ลแล้วนะครับ (เวลาเปิดดู Youtube ในคอมพิวเตอร์ ปุ่มมุมล่างขวาคือปุ่มดูคลิปแบบ Full Screen ถัดมาทางซ้ายอีกสามปุ่มคือปุ่มปิด/เปิดซับไตเติ้ลครับ)
เมื่อคุณดูวีดีโอนี้จบแล้ว อาจจะพบว่า จริงๆ แล้วคุณปูไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างที่ผมจั่วหัวไว้
สิ่งที่เปลี่ยนไปคือทัศนคติของเราต่างหาก
—–
* คุณปูไม่ได้เอ่ยชื่อวัดพระบาทน้ำพุ บอกแต่เพียงว่าเป็นวัดที่ดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์ที่ลพบุรี ผมเลยเดาเอาว่าน่าจะเป็นวัดนี้
—–
อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/
อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)
ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่”
—–
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก Youtube: Living the dream | Praya Nataya Lundberg | TEDxYouth@NIST